ป้ายกำกับ: สรรพคุณ

แสลงใจ (โกฏกะกลิ้ง)

No Comments
สมุนไพร,แสลงใจ,รักษา

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ผลัดใบ สูงได้ถึง 15 เมตร เปลือกต้นสีเทาอมเหลือง ไม่มีช่องอากาศ เกลี้ยง ไม่มีมือจับ ตามง่ามใบบางครั้งมีหนาม ใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม ผิวมันเรียบ สีเขียวเข้ม รูปไข่ รูปรี ค่อนข้างกว้างหรือกลม กว้าง 8-10 เซนติเมตร ยาว 10-14 เซนติเมตร ปลายใบมนหรือเรียวแหลม ปลายสุดมักจะมีติ่งหนาม โคนใบแหลม กลม หรือเว้ารูปหัวใจเล็กน้อย มีเส้นใบตามยาวคมชัด 3-5 เส้น เส้นกลางใบด้านบนแบน หรือเป็นร่องตื้นๆด้านล่างนูน เกลี้ยง หรือมีขนประปรายตามเส้นใบ ก้านใบยาว 5-17 มิลลิเมตร ดอกช่อออกที่ซอกใบแบบกระจุกแยกแขนง ตามยอดหรือปลายกิ่ง ช่อยาว 3-5.5 เซนติเมตร มีดอกจำนวนมาก มีขน  ก้านช่อยาว 1-3 เซนติเมตร กลีบดอกสีเหลืองแกมเขียว ถึงขาว ก้านดอกยาวไม่เกิน 2.5 มิลลิเมตร กลีบเลี้ยง 5 กลีบ รูปไข่แคบถึงรูปใบหอก ยาว 1.5-2.2 มิลลิเมตร ด้านนอกมีขนถึงเกลี้ยง ด้านในเกลี้ยง กลีบดอกสีเขียวถึงขาว ยาว 9.4-13.6 มิลลิเมตร โคนติดกันเป็นหลอด ปลายแยก 5 แฉก หลอดยาวกว่าแฉก 3 เท่า ด้านนอกเกลี้ยง หรือมีตุ่มเล็กๆด้านใน บริเวณด้านล่างของหลอดมีขนแบบขนแกะ แฉกมีตุ่มหนาแน่น หนาที่ปลายแฉก เกสรเพศผู้ 5 อัน ไม่มีก้าน ติดอยู่ภายในหลอดดอก อับเรณูรูปขอบขนาน ยาว 1.5-2 มิลลิเมตร เกลี้ยง ปลายมนหรือมีติ่งแหลม เกสรเพศเมียยาว 8-13 มิลลิเมตร เกลี้ยง ยอดเกสรเพศเมียเป็นตุ่ม ผลสด รูปทรงกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 5-8 เซนติเมตร ขนาดใหญ่กว่าพญามูลเหล็ก เปลือกหนา สาก เมื่อสุกสีส้มถึงแดง ไม่แตก เมล็ดกลมแบนคล้ายกระดุม มี 4-15 เมล็ด ยาว 1.5-2.2 เซนติเมตร หนา 5-15 มิลลิเมตร ผิวมีขนสีอมเหลือง เมล็ดมีพิษเมาเบื่อ ทำให้ตายได้ พบตามป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ป่าดงดิบแล้ง และป่าหญ้าที่ค่อนข้างแห้ง ที่สูงจากระดับน้ำทะเล 100-500 เมตร ออกดอกราวเดือนมีนาคมถึงเมษายน ผลแก่จัดเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคม

สรรพคุณ สมุนไพรแสลงใจ (โกฏกะกลิ้ง)   

 ทุกส่วนของต้นมีพิษ เป็นยาอันตรายมาก การนำมาทำเป็นยาต้องฆ่าฤทธิ์ ตามกรรมวิธีในหลักเภสัชกรรมไทยเสียก่อน
              ยาสมุนไพรพื้นบ้านจังหวัดอุบลราชธานี  ใช้  แก่น เข้ายากับเครือกอฮอ ต้มน้ำดื่ม แก้เบาหวาน ลำต้น ต้มน้ำดื่ม แก้พิษภายใน
              ยาพื้นบ้าน  ใช้  ราก ผสมกับต้นกำแพงเจ็ดชั้น รากชะมวง และรากปอด่อน ต้มน้ำดื่ม เป็นยาระบาย ต้น ต้มน้ำดื่ม หรือฝนทา แก้ปวดตามข้อ แก้อักเสบจากงูกัด เปลือกต้น รสเมาเบื่อ แก้พิษสัตว์กัดต่อย พิษงูกัด ฝนกับสุราปิดแผล และรับประทานแก้พิษงู ในกรณีแก้อักเสบจากงูพิษกัด อาจใช้สมุนไพรก่อนแล้วรีบนำส่งโรงพยาบาล ผสมกับรำให้ม้ากิน ขับพยาธิตัวตืด เปลือกต้นผสมกับผลปอพราน และเหง้าดองดึงคลุกให้สุนัขกินเป็นยาเบื่อ        
              ตำรายาไทย  เรียกเมล็ดแก่แห้งว่า “โกฐกะกลิ้ง” ใช้เป็นยาขมเจริญอาหาร บำรุงหัวใจ ขับน้ำย่อย เมล็ด มีพิษมากต้องระมัดระวังในการใช้ ทางยา เมล็ดมีรสเมาเบื่อขมจัด บำรุงธาตุ บำรุงหัวใจให้เต้นแรง แก้อัมพาต แก้อิดโรย แก้ไข้เจริญอาหาร ขับน้ำย่อย กระตุ้นประสาทส่วนกลาง บำรุงประสาท หูตาจมูก บำรุงเพศของบุรุษ บำรุงกล้ามเนื้อกระเพาะอาหาร ลำไส้ ให้แข็งแรง แก้โรคอันเกิดจากปากคอพิการ ขับพยาธิ ขับปัสสาวะ แก้พิษงู พิษตะขาบแมลงป่อง แก้ลมกระเพื่อมในท้อง แก้คลื่นไส้ แก้ลมพานไส้ แก้ริดสีดวงทวาร แก้โลหิตพิการ ทำให้ตัวเย็น แก้ลมคูถทวาร ขับลมในลำไส้ แก้หนองใน แก้ไตพิการ แก้เส้นตาย แก้เหน็บชา แก้เนื้อชา แก้กระษัย แก้ปวดเมื่อย ราก รสเมาเบื่อ แก้ไข้มาลาเรีย ฝนน้ำกิน และทาแก้อักเสบจากงูกัด แก่น รสเมาเบื่อ แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย ใบ รสเมาเบื่อ ตำพอกแก้ฟกบวม ตำพอกแก้แผลเน่าเปื่อยเรื้อรัง เนื้อไม้ เป็นยาแก้ไข้ แก้พิษร้อน ทำให้เจริญอาหาร บำรุงประสาท แก้ไข้เซื่องซึม

อาการพิษ  

ส่วนของเมล็ด ดอก ถ้ารับประทานเข้าไปทำให้กล้ามเนื้อกระตุก เกร็ง กลืนลำบาก ขาสั่น ชักอย่างแรง หัวใจเต้นแรง ขากรรไกรแข็งและตายได้ ในกรณีไม่ตายพบว่ามีไข้ ตัวชา กล้ามเนื้อเกร็ง หัวใจเต้นเร็ว และเหงื่อออกมากติดต่อกันหลายวัน ขนาดรับประทาน 60-90 มิลลิกรัม ทำให้ตายได้

แสลงใจ (โกฏกะกลิ้ง)

ไพล

No Comments
ไพร,สมุนไพร,ความงาม

ลักษณะของไพล

  • ต้นไพล ลักษณะไพลเป็นไม้ล้มลุกมีความสูงประมาณ 0.7-1.5 เมตร มีเหง้าอยู่ใต้ดิน เปลือกมีสีน้ำตาลแกมเหลือง เนื้อด้านในมีสีเหลืองถึงสีเหลืองแกมเขียว แทงหน่อหรือลำต้นเทียมขึ้นเป็นกอ โดยจะประกอบไปด้วยกาบหรือโคนใบหุ้มซ้อนกันอยู่ เหง้าไพลสดฉ่ำน้ำ รสฝาด เอียด ร้อนซ่า มีกลิ่นเฉพาะ ส่วนเหง้าไพลแก่สดและแห้งจะมีรสเผ็ดเล็กน้อย ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ด แง่ง หรือเหง้า แต่โดยทั่วไปแล้วจะใช้ส่วนของเหง้าเป็นท่อนพันธุ์ในการเพาะปลูก พรรณไม้ชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเอเชียแถบประเทศอินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย ปลูกกันมากในจังหวัดกาญจนบุรี สุพรรณบุรี ปราจีนบุรี และสระแก้ว
  • ใบไพล ลักษณะของใบเป็นรูปขอบขนานแกมรูปหอก ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับ กว้างประมาณ 3.5-5.5 เซนติเมตรและยาวประมาณ 18-35 เซนติเมตร
  • ดอกไพล ออกดอกเป็นช่อ แทงจากเหง้าใต้ดิน กลีบดอกมีสีนวล มีใบประดับสีม่วง
  • ผลไพล ลักษณะของผลเป็นผลแห้งรูปกลม

สรรพคุณของไพล

  1. ดอกไพล สรรพคุณช่วยขับโลหิตและกระจายเลือดเสีย กระจายเลือดที่เป็นลิ่มเป็นก้อน (ดอก)
  2. ช่วยแก้ธาตุพิการ (ต้นไพล)
  3. สรรพคุณสมุนไพรไพล ใบช่วยแก้ไข้ (ใบ)
  4. ช่วยแก้อาเจียน อาการอาเจียนเป็นโลหิต (หัวไพล)
  5. ช่วยแก้อาการปวดฟัน (หัวไพล)
  6. ไพลกับสรรพคุณทางยา เหง้าช่วยขับโลหิต (เหง้า)
  7. ช่วยแก้เลือดกำเดาไหลออกทางจมูก (ราก)
  8. ช่วยรักษาโรคที่บังเกิดแต่โลหิตออกทางปากและจมูก (เหง้า)
  9. เหง้าไพล ใช้เป็นยารักษาหอบหืด ด้วยการใช้เหง้าแห้ง 5 ส่วน / ดีปลี 2 ส่วน / พริกไทย 2 ส่วน / กานพลู 1/2 ส่วน / พิมเสน 1/2 ส่วน นำมาบดผสมรวมกัน ใช้ผงยา 1 ช้อนชาชงกับน้ำร้อนแล้วรับประทาน หรือจะปั้นเป็นยาลูกกลอนด้วยการใช้น้ำผึ้ง ขนาดเท่าเม็ดพุทรา แล้วรับประทานครั้งละ 2 ลูก โดยต้องรับประทานติดต่อกันเรื่อย ๆ จนกว่าอาการจะดีขึ้น (เหง้าแห้ง)
  10. ช่วยแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ท้องขึ้น ท้องเดิน ช่วยขับลมในลำไส้ ด้วยการใช้เหง้าแห้งนำมาบดเป็นผงแล้วรับประทานครั้งละ 1 ช้อนชา ด้วยการนำมาชงกับน้ำร้อนและผสมเกลือด้วยเล็กน้อยแล้วนำมาดื่ม (เหง้าแห้ง)

ไพลกับความงาม

  1. ไพลขัดผิว เหง้าสามารถนำมาใช้ทำเป็นแป้งไว้สำหรับขัดผิวได้ โดยจะช่วยทำให้ผิวดูผุดผ่อง ช่วยปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ ช่วยลดเลือนริ้วรอย จุดด่างดำและไม่ทำให้เกิดสิว ซึ่งวิธีการทำไพลขัดผิว ก็ให้นำเหง้าไพลมาหั่นแบบหยาบ ๆ ประมาณ 4 ช้อนโต๊ะ ใส่ลงในโถปั่น แล้วตามด้วยดินสอพอง 3 ถ้วยตวง นำมาทุบให้พอแตกแล้วใส่ลงไปในเครื่องปั่นและปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน หลังจากนั้นให้เติมน้ำต้มสุก 1 ถ้วยตวง และปั่นให้เข้ากันอีกครั้ง เมื่อได้ครีมเป็นเนื้อเดียวกันแล้วให้นำมาปั้นเป็นก้อนเล็ก ๆ แล้วนำไปตากแดดให้แห้งสนิทเก็บไว้ใส่ขวด ก็จะได้แป้งไพลที่สามารถนำมาใช้ขัดผิวได้แล้ว ซึ่งวิธีการใช้ก็นำมาผสมกับน้ำเย็นแล้วนำมาพอกบริเวณผิวทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีแล้วค่อยล้างออก
  2. ไพลทาหน้าหรือการพอกหน้าด้วยไพล ด้วยการใช้แป้งไพลจำนวน 2-3 ก้อนนำมาผสมกับน้ำเย็นแล้วนำมาพอกหน้าก่อนเข้านอน ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีแล้วล้างออก จะช่วยทำให้ผิวหน้าดูอ่อนนุ่ม ในสูตรสามารถเติมนมสดหรือโยเกิร์ตประมาณ 2 ช้อนชาลงไปด้วยก็ได้ ไพล

สมุนไพรแก้ฟกช้ำ ข้อเคล็ด ปวดข้อ เส้นเอ็นพิการ

No Comments
สมุนไพร,พญาเสือโคร่ง,รักษา

ลักษณะพญาเสือโคร่ง

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เป็นไม้ยืนต้น สูง ๒๐ -๓๕ เมตร วัดรอบลำต้นประมาณ ๑-๒ เมตร เปลือกไม้(ที่ยังไม่ลอก) มีสีน้ำตาล เทา หรือ เกือบดำ มีรูระบายอากาศเป็นจัดขาวเล็กๆ กลม บ้างรีบางปะปนอยู่ เปลือกมีกลิ่นคล้ายการบูร เวลาแก่จะอกออกเป็นชั้นๆ คล้ายกระดาษ ที่ยอดอ่อน ก้านใบและช่อดอกมีขนสีเหลือง หรือ สีน้ำตาล ปกคลุม หูใบเป็นรูปสามเหลี่ยม หรือ แคบ ยาวประมาณ ๓-๘ มม.ใบ เป็นรูปไข่ถึงรูปไข่แกมหอก หรือรูปหอก เนื้อใบบาง คล้ายกระดาษ หรือ หนา ด้านใต้ของใบมีตุ่ม โคนใบป้านเกือบเป็นเส้นตรง ขอบใบหยักแบบฟันเลื่อยสองชั้นหรือสามชั้น ซี่หยักแหลม ปลายใบเรียวแหลม เส้นแขนงใบ ๗-๑๐ คู่  ดอก ออกเป็นช่อยาวคล้ายหางกระรอก ออกตามง่ามใบแห่งละ ๒-๕ ช่อ ดอกย่อยไม่มีก้าน ช่อดอกเพศผู้ยาว ๕-๘ ซม. กลีบรองดอกเป็นรูปโล่หรือกลม มีแกนอยู่ตรงกลาง ปลายค่อนข้างแหลม มีขนที่ขอบเกสรเพศผู้ ๔-๗ อันติดอยู่ที่แกนกลาง ช่อดอกเพศเมียยาว ๓-๙ ซม. กลีบรองดอกไม่มีก้าน มี ๓ หยัก ด้านนอกมีขน รังไข่แบน กรอบนอกเป็นรูปไข่ หรือเกือบกลม มีขน ท่อรังไข่ยาวกว่ารังไข่เล็กน้อย ผลแก่ร่วงง่าย แบน มีปีก ๒ ข้างปีกบางและโปร่งแสง แหล่งที่พบ มักขึ้นในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย การออกดอก
ระหว่างเดือน พฤศจิกายน – เดือนกุมภาพันธ์

สรรพคุณ

  • เปลือกต้น 
    – มีน้ำมันหอมระเหยชนิดหนึ่ง กลิ่นฉุนแรงคล้ายน้ำมันระกำ แต่ถ้าทิ้งจนเปลือกแห้ง กลิ่นทำให้เส้นเอ็นแข็งแรง 
    – ช่วยชำระล้างไตให้สะอาด บำรุงกองธาตุให้เป็นปกติ
    – ขับลมในลำไส้
    – ใช้บำบัดอาการผู้ป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับมดลูกของผู้หญิงไม่สมบูรณ์ มดลูกชอกช้ำ อักเสบเนื่องจากการกระทบกระเทือน แท้งบุตร มดลูกไม่แข็งแรงให้หายเป็นปกติ

วิธีและปริมาณที่ใช้


          ใช้เปลือกต้น ถากออกจากลำต้น พอประมาณตามความต้องการ ใส่ภาชนะหรือกาน้ำ ต้มน้ำให้เดือด เคี่ยวไฟอ่อนๆ น้ำสมุนไพรจะเป็นสีแดง (ถ้าปรุงรสให้หอมหวานใช้ชะเอมพอสมควรกับน้ำตาลกรวด) ให้รับประทานขณะน้ำสมุนไพรอุ่นๆ จะมีคุณภาพดียิ่งขึ้น
          ถ้าใช้ดองกับสุรา สีจะแดงเข้ม (ถ้าจะปรุงรสและกลิ่นให้เติมน้ำผึ้ง-โสมตังกุย) สรรพคุณจะแรงขึ้นทวีคูณ ต้ม-ดองสุราได้ถึง3-4 ครั้ง จนกว่าจะหมดสีของสมุนไพร

สมุนไพรแก้ฟกช้ำ ข้อเคล็ด ปวดข้อ เส้นเอ็นพิการ

ยารักษาตา คางทูม แก้ปวดหู

No Comments

ข้าวสารดอกใหญ่

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ไม้เลื้อยมียางขาว ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม รูปไข่หรือรูปหัวใจ โคนใบเว้า ปลายใบแหลมเป็นหาง ขอบใบเรียบ ขนาดกว้าง 4-15 ซม. ยาว6-20 ซม. บริเวณกลางใบด้านบนมีขนขึ้นเป็นกระจุก ก้านใบ ยาว4-12 ซม. ดอกสีขาวหรือครีมออกเป็นช่อซี่ร่มตามซอกใบ ช่อหนึ่งมีดอก4-10 ดอก ก้านช่อดอกยาว 6-10 ซม. กลีบเลี้ยงมี 5 กลีบรูปขอบขนานโคนเชื่อมติดกัน กลีบดอกเชื่อมกันเป็นรูประฆัง แยกเป็น 5 แฉก มีเส้าเกสรสีขาวตรงกลาง ดอกบานเต็มที่กว้างประมาณ 4 ซม. ผลเป็นฝักรูปโค้ง เมล็ดรูปไข่มีขนเป็นพู่ยาวได้ถึง 4 ซม

ต้นข้าวสารดอกใหญ่

สรรพคุณ

  • รากใช้ปรุงเป็นยาหยอดรักษาตา แก้ตาแดง ตาแฉะ ตามัว
  • เมล็ดข้าวสารดอกใหญ่จะมีสาร Cardiac glycoside ซึ่งเป็นพิษต่อหัวใจ แต่สามารถนำมาใช้รักษาอาการไข้ได้
  • เมล็ดใช้เป็นยาขับเหงื่อ

สมุนไพรข้าวสารดอกใหญ่

มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า เคือคิก (สกลนคร), เข้าสาร (ราชบุรี), ไคร้เครือ (สระบุรี), ข้าวสารดอกใหญ่ (กรุงเทพฯ), เมือสาร (ชุมพร), เครื่อเขาหนัง (ภาคเหนือ), มะโอเครือ เคือเขาหนัง (ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ), ข้าวสาร (ภาคกลาง), เซงคุยมังอูมื่อ เซงคุยมังอูหมื่อ มังอุยเหมื่อเซงครึย (กะเหรี่ยง-ลำปาง), โอเคือ (ลาว), ข้าวสารเถา เป็นต้น ยารักษาตา คางทูม แก้ปวดหู

ยารักษาหูด

No Comments
น้ำนมราชสี.สมุนไพร,สมุนไพรพื้นบ้าน

น้ำนมราชสีห์

ลักษณะของน้ำนมราชสีห์

ต้นน้ำนมราชสีห์ จัดเป็นพืชล้มลุกขนาดเล็กมีอายุเพียงปีเดียว มักพบขึ้นได้เองตามริมทาง ข้างถนน และตามที่รกร้างทั่วไป ลำต้นมีความยาวประมาณ 15-40 เซนติเมตร ลักษณะของลำต้นแตกกิ่งก้านสาขาจากโคนต้นใกล้ดินตั้งขึ้น หรือแผ่ออกไปรอบ ๆ ตามก้านมีสีแดงเรื่อ ๆ และมีขนสีน้ำตาลปนเหลือง มีน้ำยางสีขาวคล้ายน้ำนมไหลซึมหากนำมาหักก้านหรือเกิดบาดแผล ซึ่งเป็นที่มาของชื่อน้ำนมราชสีห์ และขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดและการใช้กิ่ง

สรรพคุณของน้ำนมราชสีห์

1.ทั้งต้นใช้เป็นยาบำรุงกำลัง

2.ต้นนำมาต้มใช้เป็นยาเย็น  ทั้งต้นมีรสฉุนเปรี้ยวและเย็นจัด ช่วยดับร้อน แก้พิษ แก้ชื้น

3.ช่วยแก้ธาตุพิการ

4.ช่วยแก้กษัย

5. ยางสดใช้ทารักษาโรคปากนกกระจอกได้

6.ทั้งต้นใช้เป็นส่วนประกอบของยารักษาโรคตานขโมย (ผอม พุงโร ก้นปอด) โดยนำมาใช้ต้มอาบ หรือจะใช้ต้นสดประมาณ 30 กรัม นำมาตุ๋นกับหมูประมาณ 120 กรัม รับประทาน

7.ทั้งต้นใช้เป็นยาสงบประสาทและช่วยทำให้นอนหลับได้สนิท

8.ยางขาวใช้เป็นยาเกี่ยวกับประสาทความรู้สึก

9.ในอินเดียมีการใช้น้ำยางขาวมาหยอดตา เพื่อใช้รักษาเยื่อตาอักเสบ เป็นแผลที่กระจกตา

10.ช่วยแก้อาการปวดฟัน

ตำรับยา

  • แก้บิดมูกเลือด
    ใช้ทั้งต้นแห้ง 15-25 กรัม ผสมน้ำตาลทราย บิดถ่ายเป็นมูกให้ผสมน้ำตาลแดง ใช้น้ำต้มสุกตุ๋นเอาน้ำดื่ม
  • แก้เบาขัด หนองใน ปัสสาวะเป็นเลือด
    ใช้ต้นสด 30-60 กรัม ผสมน้ำดื่มวันละ 2 ครั้ง
  • แก้ฝีมีหนองลึกๆ
    ใช้ใบสด 1 กำมือ ผสมเกลือและน้ำตาบทรายแดงอย่างละเล็กน้อยตำพอก
  • แก้ฝีในปอด
    ใช้ต้นสด 1 กำมือ ตำคั้นเอาน้ำครึ่งแก้ว ผสมน้ำดื่ม
  • แก้ฝีที่เต้านม
    ใช้ต้นสด 60 กรัม รวมกับเต้าหู้ 120 กรัม ต้มรับประทาน
    ใช้ต้นสด 1 กำมือ ผสมเกลือเล็กน้อย ตำผสมน้ำร้อนเล็กน้อยพอกบริเวณที่เป็น
  • แก้เด็กเป็นตานขโมย (ผอม พุงโร ก้นปอด)
    ใช้ต้นสด 30 กรัม กับตับหมู 120 กรัม ตุ๋นรับประทาน
  • แก้เด็กศีรษะมีแผลเปื่อยเน่า มีน้ำเหลือง
    ใช้ต้นสด 1 กำมือ ต้มเอาน้ำชะล้างแผล
  • แก้ขาเป็นกลาก เน่าเปื่อย
    ใช้ต้นสด 100 กรัม แช่ในแอลกอฮอล์ 75% จำนวน 500 มิลลิลิตร 3-5 วัน เอาไว้ทาบริเวณที่เป็นบ่อยๆ
  • แก้บาดแผลมีเลือดออก
    ใช้ใบสดขยี้หรือตำพอกแผลห้ามเลือด
  • ยางใช้กัดหูด ตาปลา
    ใช้ยางขาวทาที่เป็นบ่อยๆ

ยารักษาหูด

กลุ่มยาขับประจำเดือน

No Comments
รักษาประจำเดือน,สมุนไพร,ผู้หญิง

กระบือเจ็ดตัว

สรรพคุณ :

  • ใบ  –   ขับน้ำคาวปลาหลังคลอด เป็นยาขับเลือดเน่าสำหรับสตรีในเรือนไฟ
  • ยางจากต้น – เป็นพิษ ใช้เบื่อปลา

เจตมูลเพลิงขาว

สรรพคุณ :

  • าก  –  เป็นยารักษาโรคผิวหนัง กลากเกลื้อนและผื่นคัน ขับพยาธิ แก้ปวดข้อ ขับประจำเดือน ขับลมลำไส้ แก้อาการหาวเรอ
  • ต้น – เป็นยาขับระดู
  • ใบ – แก้ฟกช้ำ ฝีบวม มาเลเรีย

ตาเสือ

สรรพคุณ :

  • ปลือกต้น  –  รสฝาด กล่อมเสมหะ ขับโลหิต
  • นื้อไม้ – รสฝาด แก้ธาตุพิการ แก้ท้องเสีย
  •  – แก้ปวดตามข้อต่างๆ ในร่างกาย
  •  – แก้บวม 

กลุ่มยาขับประจำเดือน

อินจัน

No Comments
อินจัน.สมุนไพร,ชะลอวัย

ลักษณะของอินจัน

เป็นไม้ยืนต้น สูงประมาณ 10-20 เมตร เรือนยอดเป็นทรงกลมหรือทรงกระสวย หนาทึบ ลำต้นตรง เปลือกต้นเรียบ สีน้ำตาลเข้มอมเทาหรือดำแตกเป็นสะเก็ด เนื้อไม้สีขาว ส่วนกิ่งอ่อนยอดอ่อนจะมีขนสีน้ำตาลปกคลุม และมีกิ่งก้านเหนียว

ดอกอินจัน

ดอกมีสีขาวนวลหรือสีเหลืองอ่อน ดอกเป็นดอกเดี่ยวหรือดอกช่อ แยกเพศอยู่คนละต้น ดอกเพศผู้ออกดอกเป็นช่อขนาดเล็ก ช่อหนึ่งมีประมาณ 3 ดอก ตามส่วนต่าง ๆ มีขนสีน้ำตาลแดงปกคลุมอยู่ มีกลีบเลี้ยง 4-5 กลีบเรียงเป็นรูปถ้วยแต่ไม่เชื่อมกัน ส่วนกลีบดอกมี 4-5 กลีบ โคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นรูปเหยือกน้ำ ส่วนดอกเพศเมียจะออกดอกเป็นดอกเดี่ยวตามกิ่งเล็ก ๆ กลีบดอกและกลีบเลี้ยงจะเหมือนดอกเพศผู้แต่ใบใหญ่กว่า

ประโยชน์ของอินจัน

  • ช่วยบำรุงผิวพรรณ (แก่น)
  • ช่วยบำรุงกำลังให้สดชื่น (ผล, เนื้อไม้)
  • ช่วยแก้ลม แก้อาการอ่อนเพลีย (แก่น)
  • ช่วยบำรุงเลือดลม (เนื้อไม้)
  • ช่วยบำรุงหัวใจ (แก่น)
  • เนื้อไม้ใช้ปรุงเป็นยาบำรุงประสาท ทำให้เกิดปัญญา (เนื้อไม้)
  • ช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ อาการกระสับกระส่าย (ผล)
  • ช่วยแก้อาการร้อนใน กระหายน้ำ (เนื้อไม้, แก่น) อินจัน

กลุ่มยาแก้ไข้ ลดความร้อน

No Comments
แก้ร้อนใน,สมันไพร,ดอกแค

แคดอกขาว แคดอกแดง

สรรพคุณ :

  • เปลือก 
    – ต้มหรือฝนรับประทาน แก้โรคบิดมีตัว
    – แก้มูกเลือด แก้ท้องเดิน ท้องร่วง คุมธาตุ
    – ภายนอก ใช้ชะล้างบาดแผล
  • ดอก,ใบ – รับประทานแก้ไข้เปลี่ยนอากาศ เปลี่ยนฤดู (แก้ไข้หัวลม) 
    ชาวอินเดีย ใช้สูดน้ำที่คั้นได้จากดอกหรือใบแคเข้าจมูกรักษาโรค ริดสีดวงในจมูก และทำให้มีน้ำมูกออกมา แก้ปวดและหนักศีรษะ ลดความร้อน ลดไข้
  • ใบสด
    – รับประทานใบแคทำให้ระบาย
    – ใบแค ตำละเอียด พอกแก้ช้ำชอก

วิธีและปริมาณที่ใช้ :

  • แก้มูกเลือด บิดมีตัว แก้ท้องเดิน ท้องร่วง คุมธาตุ
    ใช้เปลือกต้นปิ้งไฟ 1 ส่วน ต้มกับน้ำหรือน้ำปูนใส 10 ส่วน รับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนแกง
  • แก้ไข้ ลดความร้อน แก้ไข้หัวลม (หรือไข้อากาศเปลี่ยน)
    – ใบสด ต้มกับน้ำรับประทานลดไข้ ใช้ยอดอ่อนจำนวนไม่จำกัด ลวกจิ้มกับน้ำพริก รับประทานแก้ปวดศีรษะข้างเดียว
    – ใช้ดอกที่โตเต็มที่ล้างน้ำ ต้มกับหมูทำบะช่อ 1 ชาม รับประทาน 1 มื้อ รับประทานติดต่อกัน 3-7 วัน จะได้ผล

ว่านธรณีสาร

สรรพคุณ :

  • ใบแห้ง
    –  ป่นเป็นผง ผสมกับพิมเสนดีพอควร
    –  ใช้กวาดคอเด็ก แก้เด็กตัวร้อน แก้พิษตานทรางของเด็กได้ดี และขับลมในลำไส้

ฝ้ายแดง

สรรพคุณ :

  • เปลือกราก -บดเป็นผง ชงน้ำเดือดดื่มช่วยขับปัสสาวะ บีบมดลูก ช่วยขับน้ำคาวปลา
  •   –   ปรุงเป็นยารับประทานแก้ไข้ ขับเหงื่อ จำพวกยาเขียว และเป็นยาเด็ก แก้พิษตานทรางของเด็กได้ดี

กลุ่มยาแก้ไข้ ลดความร้อน

กลุ่มพืชหอม เป็นยาบำรุงหัวใจ

No Comments
สมุนไพร,รักษาโรค,สรรพคุณ

กระดังงาไทย

สรรพคุณ :

  • ดอกแก่จัด  –  ใช้เป็นยาหอมบำรุงหัวใจ บำรุงโลหิต บำรุงธาตุ แก้ลมวิงเวียน ชูกำลังทำให้ชุ่มชื่น ให้น้ำมันหอมระเหย ใช้แต่งกลิ่นเครื่องสำอาง น้ำอบ ทำน้ำหอม ใช้ปรุงยาหอม บำรุงหัวใจ
  • ใบ, เนื้อไม้  –  ต้มรับประทาน เป็นยาขับปัสสาวะพิการ

วิธีใช้ :

  1. ใช้ดอกกลั่น  ได้น้ำมันหอมระเหย
  2. การแต่งกลิ่นอาหาร  ทำได้โดยนำดอกที่แก่จัด ลมควันเทียนหรือเปลวไฟจากเทียนเพื่อให้ต่อมน้ำหอมในกลีบดอกแตก และส่งกลิ่นหอมออกมา แล้วนำไปเสียบไม้ ลอยน้ำในภาชนะปิดสนิท 1 คืน เก็บดอกทิ้งตอนเช้า นำน้ำไปคั้นกะทิ หรือปรุงอาหารอื่นๆ

การะเกด

สรรพคุณ :
  • ดอก
    –  ปรุงยาหอม ทำให้ชุ่มชื่นหัวใจ ดอกหอม รับประทาน มีรสขมเล็กน้อย
    –  แก้โรคในอก เช่น เจ็บคอ แก้เสมหะ บำรุงธาตุ
    –  อบกลิ่นเสื้อผ้าให้หอม

วิธีใช้  –  นำดอกไปเคี่ยวกับน้ำมันมะพร้าว หรือมันหมู ปรุงเป็นน้ำมันใส่ผม นำดอกเข้ายาหอมบำรุงหัวใจ

บัวหลวง

สรรพคุณ :

  • ดีบัว  –  มี Methylcorypalline ซึ่งเป็นตัวทำให้เส้นเลือดขยาย
  • ดอก, เกษรตัวผู้ – ขับปัสสาวะ ฝากสมาน ขับเสมหะ บำรุงหัวใจ เกษรปรุงเป็นยาหอม ชูกำลัง ทำให้ชื่นใจ ยาสงบประสาท ขับเสมหะ
  • เหง้าและเมล็ด – รสหวาน เย็น มันเล็กน้อย บำรุงกำลัง แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้เสมหะ แก้พุพอง
  • เมล็ดอ่อนและแก่ – เมล็ดใช้รับประทานเป็นอาหาร และใช้ทำเป็นแป้งได้ดี
  • เหง้าบัวหลวง – ใช้ปรุงเป็นอาหารได้ทั้งคาวหวาน
  • ไส้ของของเมล็ด – แก้เส้นโลหิตตีบในหัวใจ
  • ยางจากก้านใบและก้านดอก – แก้ท้องเดิน
  • ราก – แก้เสมหะ

สารเคมี :

  • ดอก  มีอัลคาลอยด์ ชื่อ nelumbine
  • embryo  มี lotusine
  • เมล็ด  มี alkaloids และ beta-sitosterol

กลุ่มพืชหอม เป็นยาบำรุงหัวใจ

อินทผลัม

No Comments
สมุนไพร,รักษาโรค,สรรพคุณ

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

อินทผลัมเป็นพืชตระกูลปาล์ม มีชื่อเรียกท้องถิ่นแตกต่างกันไป อาหรับ เรียก ตัมร มลายู เรียก กุรหม่า มีหลายสายพันธุ์ มีถิ่นกำเนิดในแถบตะวันออกกลาง สามารถเจริญเติบโตได้ดีในภูมิภาคที่มีอากาศร้อนและแห้งแล้งแบบทะเลทราย ลำต้นมีความสูงประมาณ 30 เมตร มีขนาดลำต้นประมาณ 30–50 เซนติเมตร มีใบติดอยู่บนต้นประมาณ 40–60 ก้าน ทางใบยาว 3–4 เมตร ใบเป็นแบบขนนก ใบย่อยพุ่งออกหลายทิศทาง ช่อดอกจะออกจากโคนใบ ผลทรงกลมรี ออกเป็นช่อ ความยาวผล 2-4 เซนติเมตร มีรสหวานฉ่ำ รับประทานได้ทั้งผลดิบและผลสุก โดยผลสดจะมีสีเหลืองไปจนถึงสีส้ม เมื่อแก่จัดจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลถึงน้ำตาลเข้ม (ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์) ทั้งนี้ พัฒนาการของผล แบ่งเป็น 4 ระยะ ได้แก่ ระยะผลดิบ ระยะสมบูรณ์ ระยะสุกแก่ ระยะผลแห้ง โดยผลสุกสามารถนำไปตากแห้งเก็บไว้รับประทานได้หลายปี และจะมีรสชาติหวานจัดเหมือนกับนำไปเชื่อมด้วยน้ำตาล

อินทผลัม สรรพคุณอันน่าอัศจรรย์ กับคุณค่าทางโภชนาการ

          อินทผลัมเป็นผลไม้ที่ไม่มีคอเลสเตอรอลและไขมันต่ำ นอกจากนี้เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ได้แก่ วิตามิน A, วิตามิน B1, วิตามิน B2, วิตามิน B6, วิตามิน K, แคลเซียม, ซัลเฟอร์, เหล็ก, โพแทสเซียม, ฟอสฟอรัส, แมงกานีส, แมกนีเซียม และน้ำมันโวลาไทล์ แถมยังอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ซึ่งช่วยในการลดอาการท้องผูก

          อินทผลัมอุดมไปด้วย เบต้าแคโรทีน ลูทีน และซีแซนทิน ซึ่งมีส่วนช่วยป้องกันมะเร็งในช่องท้อง ช่วยบำรุงร่างกาย แก้โรควิงเวียนศีรษะ แก้กระหาย ช่วยลดเสมหะภายในลำคอ หากรับประทานอินทผลัมยามเช้าขณะท้องว่าง อินทผลัมจะทำการฆ่าเชื้อโรค พยาธิ และสารพิษที่ตกค้างที่อยู่ในลำไส้ และระบบทางเดินอาหาร เพราะอินทผลัมมีฤทธิ์ในการกำจัดสารพิษและช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคบางชนิดซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง และจากรายงานการวิจัยในประเทศซาอุดีอาระเบีย พบว่าอินทผลัมสามารถช่วยทำให้กระเพาะอาหารแข็งแรง และช่วยป้องกันเยื่อบุในกระเพาะอาหาร ช่วยลดความรุนแรงของแผลในกระเพาะอาหาร นอกจากนี้อินทผลัมสดนั้นยังมาคั้นเป็นน้ำเพื่อดื่ม โดยมีประโยชน์ไม่แพ้ผลอินทผลัมแห้งเลยแม้แต่น้อย  

อินทผลัมยังมีประโยชน์อีกมากมาย ได้แก่

          – บำรุงร่างกาย เพิ่มกำลัง ขจัดความเมื่อยล้า
          – ช่วยเพิ่มน้ำหนักตัวในกลุ่มคนที่มีน้ำหนักน้อยเกินไป
          – บำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง ป้องกันโรคกระดูกพรุน
          – บำรุงสายตา
          – ช่วยดูแลและควบคุมระบบประสาท
          – ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดในสมอง
          – ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด รักษาโรคเบาหวาน
          – ช่วยลดความดันโลหิตสูง
          – ช่วยป้องกันโรคระบบทางเดินหายใจ
          – ช่วยกระตุ้นระบบการย่อยและช่วยดูดซึมสารอาหาร
          – ตามความเชื่อในคัมภีร์อัลกุรอานช่วยรักษาและบำบัดพิษต่าง ๆ ด้วยการรับประทานวันละ 7 เม็ด
          – ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ เพราะในอินทผลัมมีสารฟีลกูลีน ซึ่งช่วยบำรุงการหลั่งน้ำเชื้อของเพศชายได้

ข้อควรระวังในการกินอินทผลัม

          หากใครมีปัญหาสุขภาพหรือมีความบกพร่องในการขจัดโพแทสเซียมออกจากร่างกายควรระวังในการกิน เพราะอินทผลัมมีโพแทสเซียมสูง อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ในผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง เบาหวาน และภาวะหัวใจล้มเหลว

 ถึงแม้อินทผลัมจะมีประโยชน์มากมาย เราก็ควรกินในปริมาณที่พอเหมาะ คือประมาณ 5-10 ผลต่อวัน เพราะผลไม้ทุกชนิดจะให้ประโยชน์ต่อเมื่อเรากินในปริมาณที่เหมาะสมนะคะ หากเรากินให้ถูกต้องรับรองว่าการมีสุขภาพดีไม่ใช่เรื่องไกลเกินจริงแน่นอนค่ะ