หมวดหมู่: สมุนไพร

สมุนไพรคูน

No Comments
สมุนไพร,ยารักษาโรค,คูน

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ไม้ต้น สูงประมาณ 5 – 15 เมตร เปลือกต้นเรียบ เกลี้ยง สีเทาอ่อน หรือสีเทาอมน้ำตาล สีเทาอมขาว หรือสีนวล

ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงสลับ ลักษณะใบย่อยรูปไข่ ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ โคนใบมน แผ่นใบเรียบสีเขียวเป็นมัน มีใบย่อยประมาณ 4 – 12 คู่ ดอก ออกดอกเป็นช่อแบบช่อกระจะ ลักษณะช่อห้อยระย้าออกตามกิ่งหรือออกตามซอกใบ ออกดอกแบบสมมาตรด้านข้าง มีกลีบดอก 5 กลีบ ปลายมน สีเหลืองสด โดยกลีบดอกบนสุดจะเรียงอยู่รอบในสุด ดอกมีกลิ่นหอมอ่อนๆ

ผล เป็นฝักกลมทรงกระบอกยาว 30 – 60 เซนติเมตร ผิวเรียบ และมีเปลือกแข็ง ภายในมีผนังแบนสีน้ำตาล กั้นเป็นห้องและมีเมล็ดห้องละ 1 เมล็ด ผลอ่อนจะมีสีเขียว เมื่อแก่จะเป็นสีน้ำตาลเข้ม หรือดำ

เมล็ด มีเนื้อหุ้มนิ่มๆ สีน้ำตาลไหม้ หรือสีดำ ลักษณะกลมมนและแบน มีรสหวาน

สรรพคุณสมุนไพรคูน

  • บสด  –  รักษาโรคผิวหนัง กลากเกลื้อน ฝีและแผลพุพอง
  • ดอก, ใบสดหรือแห้ง – เป็นยาระบาย ยาถ่าย ถ่ายพยาธิลำไส้
  • เมล็ด  –  ขับพยาธิ เป็นยาระบายอ่อน

วิธีและปริมาณที่ใช้สมุนไพรคูน

  • เป็นยาระบาย ยาถ่าย แก้อาการท้องผูก
    ใช้ดอกชุมเห็ดเทศสด 1-3 ช่อดอก (หรือแล้วแต่คนที่ธาตุเบาธาตุหนัก ช่อดอกใหญ่หรือเล็ก) ต้มรับประทานจิ้มกับน้ำพริก หรือ ใช้ใบสด 8-12 ใบ ล้างให้สะอาด หั่นตากแห้ง หรือปิ้งไฟให้เหลือง หั่น ใช้ต้มหรือชงน้ำดื่ม ครั้งละ 1 ถ้วยแก้ว เติมเกลือเล็กน้อย ดื่มให้หมด
    หรือใช้ใบแห้งบดเป็นผง ปั้นกับน้ำผึ้งเป็นลูกกลอนขนาดเท่าปลายนิ้วก้อย รับประทานครั้งละ 3 เม็ด ก่อนนอน หรือเมื่อมีอาการท้องผูก
    หรือ ใช้เมล็ด คั่วให้เหลือง ชงน้ำดื่มเป็นน้ำชา เป็นยาระบายอ่อนๆ
  • เป็นยารักษาโรคผิวหนัง กลากเกลื้อน
    ใช้ใบสด 3-4 ใบย่อย ขยี้หรือตำในครกให้ละเอียด เติมเกลือเล็กน้อย หรือใช้ใบชุมเห็ดเทศกับหัวกระเทียมปริมาณเท่ากัน ผสมปูนแดงที่กินกับหมากนิดหน่อย ตำผสมกันทาบริเวณที่เป็นกลาก หรือโรคผิวหนัง โดยเอาผิวไม้ไผ่ขูดบริเวณที่เป็นกลากเบาๆ แล้วทายาวันละ 2 ครั้ง เช้าเย็นจนกว่าจะหาย หายแล้วทาต่ออีก 7 วัน
  • รักษาฝีและแผลพุพอง
    ใช้ใบชุมเห็ดเทศ และก้านสด 1 กำมือ ต้มกับน้ำพอท่วมยาแล้วเคี่ยวให้เหลือ 1 ใน 3 ชะล้างบริเวณที่เป็นวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ถ้าเป็นมากให้ใช้ประมาณ 10 กำมือ ต้มอาบ สมุนไพรคูน

สมุนไพรยาขับถ่าย

No Comments
สมุนไพร,ขับถ่าย,รักษาโรค

ลักษณะของต้นกาฬพฤกษ์

  • ลักษณะของลำต้น กาฬพฤกษ์เป็นไม้ใหญ่พุ่มใบกว้าง เปลือกไม้เป็นสีน้ำตาลเข้ม บางส่วนที่แก่จัดจะมีสีดำผสมอยู่ด้วย มีรอยแตกเป็นร่องลึกตลอดแนวลำต้น กิ่งก้านที่ยังอ่อนจะมีขนสีน้ำตาลปกคลุม มองผิวเผินจะดูคล้ายกับต้นราชพฤกษ์
  • ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนกที่มีใบย่อยเป็นรูปวงรี โคนใบและปลายใบโค้งมน เนื้อใบบาง สัมผัสเรียบลื่นแต่ไม่เป็นมันเงา ยอดอ่อนจะมีโทนสีน้ำตาลอมแดง
  • ดอกกาฬพฤกษ์ ช่อดอกมีขนาดใหญ่และมีความหนาแน่นของดอกย่อยค่อนข้างมาก ดอกย่อยมีกลีบรูปไข่ 5 กลีบ ตอนที่เป็นดอกตูมจนถึงช่วงแรกที่เริ่มบานจะมีสีแดงคล้ำ บานแล้วจึงเปลี่ยนเป็นสีส้มอมชมพูและส่งกลิ่นหอม แต่ละปีจะออกดอกแค่ช่วงเดียวตอนปลายฤดูหนาว
  • ผล ผลมีลักษณะเป็นฝักยาวทรงกระบอก เปลือกหนาและแข็ง ด้านนอกเป็นผิวขรุขระสีเกือบดำ เมื่อแก่ ฝักจะแตกออกให้เห็นด้านในสีน้ำตาลอ่อน  มีเมล็ดรูปวงรีสีครีมจำนวนมาก
ดอกกาฬพฤกษ์

วิธีการดูแลรักษา

  • แสง ต้องการแสงมาก จึงต้องปลูกในตำแหน่งที่ได้รับแดดจัดตลอดทั้งวัน
  • น้ำ ควรรดน้ำเป็นประจำทุกวันในช่วงต้นกล้าและช่วงย้ายที่ปลูกใหม่ จากนั้นค่อยลดปริมาณลงได้ตามความเหมาะสม เพราะเป็นพืชทนแล้งได้ดี
  • ดิน เติบโตได้ดีในดินร่วนซุย
  • ปุ๋ย ให้ใช้ปุ๋ยบำรุงดินปีละ 3-4 ครั้ง
ปลูกกาฬพฤกษ์

คุณประโยชน์ที่ได้จากต้นกาฬพฤกษ์

  1. เมล็ด มีสรรพคุณเป็นยาขับพิษ สามารถทานเพื่อกระตุ้นให้อาเจียนออกมาได้
  2. เนื้อในฝัก คนโบราณจะใช้ส่วนนี้ผสมกับหมากเคี้ยว มีฤทธิ์เป็นยาลดพิษไข้ได้ดี ช่วยระบายได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ พร้อมกับช่วยลดอาการปวดมวนในท้องได้ด้วย
  3. เนื้อไม้ นำมาใช้ในอุตสาหกรรมฟอกหนัง สมุนไพรยาขับถ่าย

ยาแก้อ่อนเพลีย บำรุงกำลัง บำรุงธาตุ

No Comments
สมุนไพร,รักษาโรค,ประโยชน์

มะพร้าว

ลักษณะมะพร้าว

มะพร้าว เป็นพืชยืนต้น ใบมีลักษณะเป็นใบประกอบแบบขนนก ผลประกอบด้วยเอพิคาร์ป (epicarp) คือเปลือกนอก ถัดไปข้างในจะเป็นมีโซคาร์ป (mesocarp) หรือใยมะพร้าว ถัดไปข้างในเป็นส่วนเอนโดคาร์ป (endocarp) หรือกะลามะพร้าว ซึ่งจะมีรูสีคล้ำอยู่ 3 รู สำหรับงอก ถัดจากส่วนเอนโดคาร์ปเข้าไปจะเป็นส่วนเอนโดสเปิร์ม หรือที่เรียกว่าเนื้อมะพร้าว ภายในมะพร้าวจะมีน้ำมะพร้าวซึ่งน้ำมะพร้าวเกิดจากเอนโดสเปิร์มของมะพร้าวซึ่งจะมีเอนโดสเปิร์มทั้งของแข็งและของเหลว คือ เอนโดสเปิร์มของแข็งจะเป็นเนื้อมะพร้าว และเอนโดสเปิร์มทั้งของเหลวจะเป็นน้ำมะพร้าว ซึ่งเมื่อมะพร้าวแก่ เอนโดสเปิร์มก็จะดูดเอาน้ำมะพร้าวไปหมด ขณะที่มะพร้าวยังอ่อน ชั้นเอนโดสเปิร์ม (เนื้อมะพร้าว) ภายในผลมีลักษณะบางและอ่อนนุ่ม ภายในมีน้ำมะพร้าว ซึ่งในระยะนี้เรามักสอยเอามะพร้าวลงมารับประทานน้ำและเนื้อ เมื่อมะพร้าวแก่ ซึ่งสังเกตได้จากการที่เปลือกนอกเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ชั้นเอนโดสเปิร์มก็จะหนาและแข็งขึ้น จนในที่สุดมะพร้าวก็หล่นลงจากต้น

ประโยชน์มะพร้าว

  • นํ้ามะพร้าว ใช้เป็นเครื่องดื่มเกลือแร่ได้ เนื่องจากอุดมไปด้วยโพแทสเซียม นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติปลอดเชื้อโรค และเป็นสารละลายไอโซโทนิก ซึ่งด้วยเหตุนี้จึงสามารถนำน้ำมะพร้าวไปใช้ฉีดเข้าหลอดเลือดเวน ในผู้ป่วยที่มีอาการขาดน้ำหรือปริมาณเลือดลดผิดปกติได้ น้ำมะพร้าวสามารถนำไปทำ วุ้นมะพร้าว ได้ โดยการเจือกรดอ่อนเล็กน้อยลงในน้ำมะพร้าว
  • เนื้อมะพร้าวแก่ นำไปทำกะทิได้ โดยการขูดเนื้อในเป็นเศษเล็ก ๆ แล้วบีบเอาน้ำกะทิออกมาจากมะพร้าว
  • กากมะพร้าว ที่เหลือจากการคั้นกะทิ ยังสามารถนำไปทำเป็นอาหารสัตว์ได้
  • ยอดอ่อนของมะพร้าว หรือเรียกอีกชื่อว่า หัวใจมะพร้าว (coconut’s heart) สามารถนำไปใช้ทำอาหารได้ ซึ่งยอดอ่อนมีราคาแพงมาก เพราะการเก็บยอดอ่อนทำให้ต้นมะพร้าวตาย ด้วยเหตุนี้จึงมักเรียกยำยอดอ่อนมะพร้าวว่า “สลัดเจ้าสัว“ (millionaire’s salad)
  • ใยมะพร้าว นำไปใช้ยัดฟูก ทำเสื่อ หรือนำไปใช้ในการเกษตร และนำไปทำเป็นสครับขัดผิวกายได้
  • น้ำมันมะพร้าว ได้จากการบีบหรือต้มกากมะพร้าวบด นำไปใช้ในการปรุงอาหารหรือนำไปทำเครื่องสำอางก็ได้ และในปัจจุบันยังมีการผลิตไบโอดีเซลจากน้ำมันมะพร้าวอีกด้วย
  • กะลามะพร้าว นำไปใช้ทำสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ เช่น กระบวย โคมไฟ กระดุม ซออู้ ฯลฯ
  • ก้านใบ หรือ ทางมะพร้าว ใช้ทำไม้กวาดทางมะพร้าว ใบนำไปสารทำหมวก ฯลฯ
  • จาวมะพร้าว ใช้นำมาเป็นอาหารได้ ในจาวมะพร้าวมีฮอร์โมนออกซิน และฮอร์โมนอื่นๆแต่ มี ฮอร์โมนออกซินปริมาณมากที่สุด ซึ่งเมื่อนำไปคั้น และนำน้ำที่ได้จากจาวมะพร้าว ไปรดต้นพืช จะช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของพืชได้

การป้องกันและกำจัด

ป้องกันกำจัดด้วงแรดอย่าให้เกิดระบาดทำลายต้นมะพร้าวเพราะแผลที่ด้วงแรดกัดเป็นช่องทางให้ด้วงงวงเข้าไปวางไข่ ระวังอย่าให้ต้นมะพร้าวเกิดบาดแผล เช่น การใช้มีดฟันต้น เพราะด้วงงวงจะเข้าไปวางไข่ตามรอยแผล อย่าปลูกมะพร้าวตื้น เพราะรากจะลอย ด้วงงวงสามารถเข้าไปในรอยเปิดของเปลือกตรงส่วนของโคนต้นที่ติดกับพื้นดินได้ ถ้าพบต้นที่ถูกด้วงงวงทำลาย และต้นยังแข็งแรงอยู่ ให้ใช้ยาคาร์โบฟูราน (ฟูราดาน หรือ คูราแทร์ 3% G) โรยบริเวณโคนต้น เกลี่ยดินกลบ รดน้ำให้ชุ่ม สารเคมีจะซึมผ่านขึ้นไปจนถึงยอด ฆ่าหนอนที่กินอยู่ภายในได้ และอย่าเก็บผลไปรับประทานภายใน 30 วัน หลังจากใส่สารเคมีแล้ว ต้นที่ถูกด้วงงวงทำลายจนตาย ควรโค่นทิ้งแล้วเผาทำลาย

ยาแก้อ่อนเพลีย บำรุงกำลัง บำรุงธาตุ

มะตูม

No Comments
สมุนไพร,รักษาโรค,สรรพคุณ

ลักษณะทางพฤกษศาสต์

ลำต้นมีความสูง 18 เมตร เปลือกลำต้นมีสีเทาเรียบเป็นร่องตื้น เนื้อไม้แข็ง มีสีขาวแกมเหลือง และมีกลิ่นหอม โคนต้นและกิ่งก้านมีหนามแหลม ยาว แข็ง ออกเดี่ยวหรือเป็นคู่ตามกิ่ง ใบประกอบแบบขนนก ใบย่อยรูปไข่หรือรูปหอกมี 3 ใบ มองดูคล้ายตรีศูลของพระศิวะ ดอกสีขาวหรือขาวอมเขียว มีกลิ่นหอม ผลมีเปลือกแข็งเรียบและมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 5–15 เซนติเมตร บางผลมีเปลือกแข็งมากจนต้องกระเทาะเปลือกออกโดยใช้ค้อนทุบ เนื้อผลเหนียวข้น มีกลิ่นหอม และมีเมล็ดจำนวนมากแทรกอยู่ในเนื้อผล โดยเมล็ดจะมีขนหนาปกคลุม

การใช้ประโยชน์

ผลมะตูมใช้รับประทานได้ทั้งแบบสดและแบบแห้ง น้ำจากผลเมื่อนำไปกรองและเติมน้ำตาลจะได้เครื่องดื่มคล้ายน้ำมะนาว และยังใช้ในการทำ Sharbat ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่ได้จากการนำเนื้อผลมะตูมไปผสมกับมะขาม ผลอ่อนฝานแล้วตากแห้งนำไปต้มกับน้ำเป็นน้ำมะตูม นำมายำ ใบอ่อนและยอดอ่อนใช้รับประทานเป็นผักสลัด กินกับน้ำพริก ลาบ และข้าวยำ ผลแก่แต่เปลือกยังนิ่มนำมาฝานแล้วทำเป็นมะตูมเชื่อม ซึ่งนำไปเป็นส่วนผสมของขนมอื่นอีกหลายอย่าง มะตูมสุก เนื้อเละใช้รับประทานเป็นผลไม้ และใช้เป็นยารักษาอาการท้องร่วง ท้องเดิน โรคลำไส้ ตาแห้งไข้หวัดธรรมดา และยังใช้รักษาอาการท้องผูกเรื้อรัง

สรรพคุณของมะตูม

  1. ผลแก่แต่ไม่สุกใช้รับประทานเป็นยาบำรุงร่างกาย รักษาธาตุ บำรุงธาตุไฟ
  2. ผลสุกสามารถนำมาใช้เป็นยาระบายได้
  3. ช่วยรักษาอาการท้องร่วง ท้องเดิน โรคลำไส้
  4. ใช้รักษาอาการท้องผูกเรื้อรังได้
  5. ใบสดนำมาคั้นเอาน้ำ ใช้แก้หวัด
  6. เปลือกรากและลำต้นจะช่วยแก้อาการไข้จับสั่น
  7. แก้ลม แก้มูกเลือด
  8. ช่วยรักษาอาการหลอดลมอักเสบ

ยาแก้อ่อนเพลีย บำรุงกำลัง บำรุงธาตุ

No Comments
สมุนไพร,รักษาโรค,สรรพคุณ

จันทน์เกศ

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ไม้พุ่ม สูง 5-18 เมตร เปลือกต้นเรียบ สีเทาอมดำ ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปรี กว้าง 4-5 ซม. ยาว 10-15 ซม. ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบ เป็นมัน ดอก ดอกแยกเพศอยู่คนละต้น ออกเป็นช่อตามซอกใบ สีเหลืองอ่อน กลีบเลี้ยงโคนเชื่อมติดกันเป็นรูปคนโท ปลายแยกออกเป็น 3 แฉก ไม่มีกลีบดอก ผล รูปทรงค่อนข้างกลม ผิวเรียบ สีเหลืองนวล พอแก่แตกอ้าออกเป็น 2 ซีก เห็นรก หุ้มเมล็ดสีแดง เมล็ดสีน้ำตาลมี 1 เมล็ด

สรรพคุณยาแก้อ่อนเพลีย บำรุงกำลัง บำรุงธาตุ

ผล – ให้ Myristica Oil ซึ่งเป็น Volatile Oil ประกอบด้วย Myristiein และ Safrole ซึ่งเป็นตัวแต่งกลิ่น และขับลม

ดอก – ใช้เป็นเครื่องเทศ และขับลมแก่น – แก้ไข้ บำรุงตับ ปอด

ราก – ขับลม แต่งกลิ่น เครื่องเทศ เจริญอาหาร

เมล็ด – ขับลม แก้ท้องอืดเฟ้อ เป็นเครื่องเทศ เจริญอาหาร

วิธีและปริมาณที่ใช้

รกและเมล็ดขนาด 0.5 กรัม หรือประมาณ 1-2 เมล็ด หรือใช้รก 4 อัน ป่นรก หรือเมล็ดให้เป็นผงละเอียด ชงน้ำครั้งเดียว รับประทานวันละ 2 ครั้ง 2-3 วัน

ยาแก้อ่อนเพลีย บำรุงกำลัง บำรุงธาตุ

กันเกรา

No Comments
สมุนไพร,กันเกรา,รักษาโรค

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์กันเกรา

 ไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ต้นสูงประมาณ 15-20 เมตร เปลือกต้นสีน้ำตาล ผิวเรียบ เมื่อลำต้นแก่จะแตกเป็นร่องลึกตามยาว แก่นมีความแข็งแรง คงทน แตกกิ่งก้านมาก ใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม ออกหนาแน่นที่ปลายยอด ใบรูปวงรี ปลายใบแหลม กว้าง 4-6 เซนติเมตร ยาว 8-12 เซนติเมตร ขอบใบขนาน แผ่นใบเป็นคลื่นเล็กน้อย เรียบเป็นมัน สีเขียวเข้ม ฐานใบมน ปลายใบแหลม ท้องใบและขอบใบเรียบ เส้นกลางใบสีเขียวอ่อน นูนเล็กน้อย ผิวใบด้านบนลื่น เป็นมันสีเขียวเข้ม เนื้อใบค่อนข้างเหนียว หูใบยาว 0.1-0.2 ซม. เส้นแขนงใบ 5-9 คู่ เห็นไม่ชัดเจน ด้านบน เส้นกลางใบด้านบนนูนเล็กน้อย ด้านล่างเป็นสันนูนชัดเจน ดอกออกเป็นช่อ แบบช่อกระจุก ออกตามซอกใบที่ปลายกิ่ง ยาว 4-12 ซม. ก้านช่อยาว 2-6.5 ซม. ก้านดอกย่อยยาว 0.3-0.6 ซม. มีกลิ่นหอม กลีบดอกสีขาวและเหลืองอ่อนจำนวน 5 กลีบ ม้วนงอเข้าหาก้านดอก โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดสั้นๆ ปลายกลีบดอกแหลม กลีบดอกรูปปากแตรแคบๆ ยาวได้ประมาณ 2 ซม. หลอดกลีบดอกยาว 0.7-1.2 ซม. กลีบรูปขอบขนาน ยาว 0.5-0.8 ซม. พับงอกลับ ดอกเริ่มบานมีสีขาวเมื่อบานเต็มที่มีสีเหลืองอมส้ม มีก้านเกสรยาวออกมา เกสรตัวผู้ยาวและติดกับกลีบดอกมี 5 อัน ยื่นพ้นเลยปากหลอดกลีบดอก ก้านเกสรเพศผู้แผ่กว้าง ยาว 1.5-2 ซม. อับเรณูรูปรีหรือขอบขนาน ยาวได้ประมาณ 0.2 ซม เกสรตัวเมียยาวมี 1 อัน รังไข่ยาว 1.7-2.4 ซม. รวมก้านเกสรเพศเมีย ยอดเกสรรูปโล่ห์หรือแยกเป็น 2 พู กลีบเลี้ยง 5 กลีบ กลีบเลี้ยงรูประฆัง ยาว 0.2-0.3 ซม. กลีบยาวได้ประมาณ 0.2 ซม. ปลายกลีบกลม ผลอ่อนทรงกลมสีเขียว สุกสีเหลือง ส้ม หรือแดง เป็นแบบผลสดมีหลายเมล็ด ผลกลม เส้นผ่านศูนย์กลาง 0.5-0.8 ซม. เมล็ดมีขนาด 0.1-0.2 ซม.มีเหลี่ยม ผิวเรียบเป็นมัน ฉ่ำน้ำ มีติ่งแหลมสั้นติดอยู่ที่ปลาย เมล็ดมีขนาดเล็กสีน้ำตาลไหม้ มีหลายเมล็ด ออกดอกช่วงเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน จัดเป็นพรรณไม้มงคล และเป็นพรรณไม้สัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี พบตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ป่าเต็งรัง ยอดอ่อนและใบอ่อนใช้กินเป็นผักสดได้

กันเกรา

  

ประโยชน์และสรรพคุณกันเกรา

  1. ช่วยบำรุงธาตุ
  2. แก้ไข้จับสั่น
  3. แก้หอบหืด
  4. ช่วยรักษาโรคผิวหนังพุพอง
  5. ช่วยบำรุงร่างกาย
  6. แก้พิษฝีกาฬ
  7. บำรุงไขมัน
  8. เป็นยาอายุวัฒนะ
  9. ช่วยขับลม
  10. แก้ริดสีดวง
  11. แก้ท้องเดิน
  12. รักษามูกเลือด
  13. แก้ท้องมาน
  14. แก้แน่นหน้าอก
  15. แก้โลหิตพิการ
  16. แก้ปวดแสบปวดร้อน
  17. ช่วยบำรุงโลหิต
กันเกรา

ข้อแนะนำและข้อควรระวัง   

สำหรับการใช้กันเกรา เป็นสมุนไพรในการบำบัดรักษาโรคต่างๆ นั้นก็ควรระมัดระวังในการใช้เช่นเดียวกันกับการใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยควรใช้ในขนาดที่เหมาะสมตามที่ระบุไว้ในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในปริมาณที่มากจนเกินไป หรือ ใช้ต่อเนื่องกันนานจนเกินไป เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ สำหรับเด็ก สตรีมีครรภ์ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง หรือ ผู้ที่ต้องรับประทานยาต่อเนื่องเป็นประจำก่อนจะใช้กันเกราเป็นสมุนไพรในการบำบัดรักษาโรค ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้เสมอ

กันเกรา

กฤษณา

No Comments
สมุนไพร,รักษา,สรรพคุณ

ลักษณะภายนอกของเครื่องยา

 เนื้อไม้ปกติจะมีสีขาวนวล เสี้ยนตรง เนื้อหยาบปานกลาง หากมีน้ำมันสะสมอยู่บ้างเนื้อไม้จะเปลี่ยนสีจากเดิม เป็นสีเหลืองอ่อนๆ และจะมีสีเข้มมากขึ้นตามปริมาณน้ำมันที่สะสมอยู่ในเนื้อไม้  หรือบางครั้งอาจเห็นเป็นจุดเข้มๆ กระจายเป็นแผ่นบางๆ บริเวณผิวไม้ แต่ยังไม่แทรกลึกเข้าไปในเนื้อไม้  หากมีน้ำมันสะสม จะมีกลิ่นหอมซึ่งเกิดจากการที่มีเชื้อราบางชนิดเจริญเข้าไปในเนื้อไม้  ทำให้เนื้อไม้สร้างชันน้ำมัน (oleoresin) เนื้อไม้จึงมีสีเข้มขึ้น  เมื่อหักกิ่งจะมีชันน้ำมันไหลเยิ้มออกมา  มีกลิ่นหอมเฉพาะ รสเผ็ดร้อน และขม

สรรพคุณ

เนื้อไม้ซึ่งเป็นสีดำ และมีกลิ่นหอม รสขม ตามตำรายาไทย: ใช้ คุมธาตุ บำรุงโลหิตและหัวใจ ทำให้หัวใจชุ่มชื่น ใช้ผสมยาหอม แก้ลมวิงเวียนศีรษะ บำรุงกำลัง บำรุงธาตุ  บำรุงตับและปอดให้ปกติ เป็นยาอายุวัฒนะ แก้อาเจียน ท้องร่วง แก้ไข้ต่างๆ บำบัดโรคปวดบวมตามข้อ ต้มดื่มแก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้เสมหะ โดยนำมาผสมกับยาหอมกิน หรือนำมาต้มน้ำดื่ม กรณีกระหายน้ำมาก
           ในตำราพระโอสถพระนารายณ์: มีการนำแก่นไม้กฤษณาไปใช้หลายตำรับ โดยเป็นตัวยาผสมกับสมนุไพรชนิดอื่นๆ อีกหลายชนิดในตำรับเพื่อรักษาอาการของโรคต่างๆ เช่น ตำรับยาขี้ผึ้งบี้พระเส้น หรือยาถูนวดเส้น ตำรับยาน้ำมันมหาวิศครรภราชไตล ทำให้โลหิตไหลเวียนดี และเป็นยาคลายเส้น ตำรับยาทรงทาพระนลาฎ ใช้ทาหน้าผากแก้เลือดกำเดาที่ทำให้ปวดศีรษะ ยามโหสถธิจันทน์ เป็นยาแก้ไข้ตัวร้อน และยังปรากฏเป็นส่วนประกอบในตำรับยาหอมเทพจิตร ซึ่งมีสมุนไพรชนิดอื่นๆร่วมอยู่ด้วยในตำรับ ตามบัญชียาจากสมุนไพร พ.ศ. 2549 ประกาศคณะกรรมการแห่งชาติด้านยาของไทย
           ในแหลมมลายู: ใช้กฤษณาเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางและใช้บำบัดโรคผิวหนังหลายชนิด  ผงกฤษณาใช้โรยบนเสื้อผ้าหรือบนร่างกายเพื่อฆ่าหมัดและเหา
           ในประเทศมาเลเซีย: นำเอากฤษณาผสมกับน้ำมันมะพร้าว นำมาทาบรรเทาอาการปวดเมื่อย หรือบรรเทาอาการของโรครูมาติซัม
           ยาพื้นบ้านของอินเดียและหลายประเทศในเอเชีย: ใช้กฤษณาเป็นส่วนผสมในยาหอม ยาบำรุง ยากระตุ้นหัวใจ และ ยาขับลม นอกจากนี้ยังใช้เป็นยาแก้ปวด  แก้อัมพาตและเป็นตัวยา รักษาโรคมาลาเรีย
           ชาวอาหรับ: ใช้ผงไม้กฤษณาโรยเสื้อผ้า ผิวหนัง ป้องกันตัวเรือด ตัวไร และมีความเชื่อว่าน้ำมันหอมระเหยของกฤษณาเป็นยากระตุ้นทางเพศ
           ชาวฮินดูนิยม: นำมาใช้จุดไฟ ให้มีกลิ่นหอมในโบสถ์
           ประเทศจีน: ใช้แก้ปวดหน้าอก แก้อาเจียน แก้ไอ แก้หอบหืด

ลักษณะทางกายภาพและเคมีที่ดี

 ไม้กฤษณาที่มีคุณภาพดี เนื้อไม้จะเป็นสีดำ มีกลิ่นหอม และท่อนไม้จะจมได้ในน้ำ กฤษณาที่มีคุณภาพดีในต่างประเทศเรียกรวมๆกันว่า “ true agaru ”  มีรสขมเล็กน้อย กลิ่นหอมชวนดมคล้ายกลิ่นจันทน์หิมาลัย (Sandal wood) หรืออำพันขี้ปลา (Ambergris) เมื่อเผาไฟจะให้เปลวไฟโชติช่วงและมีกลิ่นหอม  ชาวอาหรับนิยมเอามาเผาไฟเพื่ออบห้องให้มีกลิ่นหอม  และนิยมจำหน่ายเป็นชิ้นไม้ หากมีสีน้ำตาลอ่อนหรือสีน้ำเงิน ลอยปริ่มน้ำ เป็นคุณภาพขนาดกลาง ส่วนชนิดที่มีคุณภาพรองลงมา  เรียกกันว่า “dhum” ซึ่งเมื่อนำมากลั่นจะให้น้ำมันระเหยง่ายที่เรียกว่า “agar attar”  มีกลิ่นหอมเหมือนน้ำมันดอกยี่สุ่น (rose oil) ในยุโรปเอามาใช้ทำน้ำหอมชนิดคุณภาพดี สำหรับท่อนที่ลอยน้ำ มักจะไม่มีกลิ่นหอม หรือไม่มีสารหอมสะสม เป็นเนื้อไม้ที่คุณภาพต่ำ
           โบราณแบ่งชั้นคุณภาพของกฤษณาโดยใช้สีและน้ำหนักเป็นเกณฑ์ แบ่งเป็น
                           1) เนื้อไม้ (หรือไม้หอม) ชนิดนี้มีคุณภาพดีที่สุด  มีสีดำเข้มตลอดกันหมด แข็งมาก และหนักมาก หนักกว่าน้ำ และมีชันอยู่ในปริมาณสูง  ชนิดนี้มีหลักฐานบันทึกว่าไทยเราเคยส่งไปเป็นบรรณาการในประเทศอังกฤษ มักไม่นำไปกลั่นน้ำมัน แต่จะจำหน่ายเป็นชิ้นไม้ ใช้ในพิธีกรรม และประโยชน์ด้านอื่นๆ
                          2) กฤษณา เป็นชนิดที่มีคุณภาพรองลงมา มีสีน้ำตาลเข้มถึงดำ แข็ง และหนักกว่าน้ำ ชนิดนี้โบราณมักใช้ทำยา 
                          3) ลูกผุด เป็นชนิดที่มีคุณภาพด้อยกว่า เนื้อไม้สีอ่อนกว่า มีสีน้ำตาลเข้มหรือดำเฉพาะที่ หรือเป็นจุดๆ ชนิดนี้จะเบากว่าน้ำ ใช้นำมากลั่นเอาน้ำมัน

ดอกสายน้ำผึ้ง

No Comments
สมุนไพร,ชะลอวัย,ภูมิคุ้มกัน

ลักษณะทั่วไป

ไม้เถาเลื้อย กิ่งสีน้ำตาลเป็นมัน มีขนนุ่ม ใบเดี่ยวออกเป็นคู่ตรง กันข้าม ใบรูปไข่แกมรูปหอก มีขนนุ่มปกคลุม ดอกช่อออกตามซอกใบ มี 5-15 ดอก ลักษณะเป็นหลอดยาว กลีบแยกเป็น 2 กลีบ กลีบบนมี 4 หยัก กลีบล่างมี 1 กลบี เกสรเพศผู้ยาวกว่า กลีบดอก ดอกสีขาว แล้วเปลี่ยนเป็นเหลืองอมส้ม มีกลิ่นหอม ผลกลมสีดำเกลี่ยไม่มีขน

ตัวอย่างตำรับพื้นบ้าน

แก้ร้อนใน ช่วยขับพิษร้อนในร่างกาย ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ขับปัสสาวะ

นำดอกสายน้ำผึ้ง ประมาณ 5-7 ดอก ที่ได้ทการตากจนแห้งแล้วมาชงใส่ในน้ำร้อนจัด ครั้งละ 1 แก้วชา แช่ทิ้งไว้ประมาณ 3 นาที แล้วนำมาดื่มอุ่นๆ วันละ 2 เวลา เช้า และ เย็น หลัง อาหาร หรือนำทั้งต้นที่ได้ทำการตากแห้งแล้วประมาณ 1 กำมือต่อน้ำ 1 ลิตร มาต้มให้เดือด โดยให้น้ำเหลือ 1⁄2 ส่วน แล้วนำมาดื่มอุ่นๆครั้งละ 1⁄2 แก้วชา วันละ 3 เวลา เช้า เที่ยง และเย็น หลังอาหาร

ช่วยทำให้หลับง่ายหลับสบาย ช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลาย จิตสงบ ช่วยดับพิษ ร้อนในร่างกาย:

นำดอกสายน้ำผึ้งกับดอกมะลิที่ได้ทำการตากจนแห้งแล้ว อย่างละ 1 กำมือ ต่อน้ำ 1 ลิตร มาต้มให้เดือด โดยให้เหลือ ½ ส่วน แล้วนำมาดื่มอุ่นๆ วันละ 3 เวลา เช้า เที่ยง เย็น หลังอาหาร

ประโยชน์ของดอกสายน้ำผึ้ง (Honeysuckle)

● ต้านการอักเสบ

น้ำมันสกัดจากดอกสายน้ำผึ้ง มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและบรรเทาอาการปวด ช่วยผ่อนคลาย ลดอาการปวดกล้ามเนื้อ บรรเทาอาการปวดหัว บรรเทาการติดเชื้อในลำไส้ต่าง ๆ

● ต้านแบคทีเรีย

ดอกสายน้ำผึ้งช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ด้วยคุณสมบัติของยาปฏิชีวนะ และอะโรมาเดนไตรีน (Aromadendrene) ที่ความเข้มข้นสูง ในดอกสายน้ำผึ้งญี่ปุ่น จึงถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียสเตรปโทคอกคัส (streptococcal bacteria) ช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรีย

● ต้านอนุมูลอิสระ

มีสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการเกิดโรคมะเร็งและช่วยชะลอความแก่

ดอกสายน้ำผึ้ง

แสลงใจ (โกฏกะกลิ้ง)

No Comments
สมุนไพร,แสลงใจ,รักษา

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ผลัดใบ สูงได้ถึง 15 เมตร เปลือกต้นสีเทาอมเหลือง ไม่มีช่องอากาศ เกลี้ยง ไม่มีมือจับ ตามง่ามใบบางครั้งมีหนาม ใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม ผิวมันเรียบ สีเขียวเข้ม รูปไข่ รูปรี ค่อนข้างกว้างหรือกลม กว้าง 8-10 เซนติเมตร ยาว 10-14 เซนติเมตร ปลายใบมนหรือเรียวแหลม ปลายสุดมักจะมีติ่งหนาม โคนใบแหลม กลม หรือเว้ารูปหัวใจเล็กน้อย มีเส้นใบตามยาวคมชัด 3-5 เส้น เส้นกลางใบด้านบนแบน หรือเป็นร่องตื้นๆด้านล่างนูน เกลี้ยง หรือมีขนประปรายตามเส้นใบ ก้านใบยาว 5-17 มิลลิเมตร ดอกช่อออกที่ซอกใบแบบกระจุกแยกแขนง ตามยอดหรือปลายกิ่ง ช่อยาว 3-5.5 เซนติเมตร มีดอกจำนวนมาก มีขน  ก้านช่อยาว 1-3 เซนติเมตร กลีบดอกสีเหลืองแกมเขียว ถึงขาว ก้านดอกยาวไม่เกิน 2.5 มิลลิเมตร กลีบเลี้ยง 5 กลีบ รูปไข่แคบถึงรูปใบหอก ยาว 1.5-2.2 มิลลิเมตร ด้านนอกมีขนถึงเกลี้ยง ด้านในเกลี้ยง กลีบดอกสีเขียวถึงขาว ยาว 9.4-13.6 มิลลิเมตร โคนติดกันเป็นหลอด ปลายแยก 5 แฉก หลอดยาวกว่าแฉก 3 เท่า ด้านนอกเกลี้ยง หรือมีตุ่มเล็กๆด้านใน บริเวณด้านล่างของหลอดมีขนแบบขนแกะ แฉกมีตุ่มหนาแน่น หนาที่ปลายแฉก เกสรเพศผู้ 5 อัน ไม่มีก้าน ติดอยู่ภายในหลอดดอก อับเรณูรูปขอบขนาน ยาว 1.5-2 มิลลิเมตร เกลี้ยง ปลายมนหรือมีติ่งแหลม เกสรเพศเมียยาว 8-13 มิลลิเมตร เกลี้ยง ยอดเกสรเพศเมียเป็นตุ่ม ผลสด รูปทรงกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 5-8 เซนติเมตร ขนาดใหญ่กว่าพญามูลเหล็ก เปลือกหนา สาก เมื่อสุกสีส้มถึงแดง ไม่แตก เมล็ดกลมแบนคล้ายกระดุม มี 4-15 เมล็ด ยาว 1.5-2.2 เซนติเมตร หนา 5-15 มิลลิเมตร ผิวมีขนสีอมเหลือง เมล็ดมีพิษเมาเบื่อ ทำให้ตายได้ พบตามป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ป่าดงดิบแล้ง และป่าหญ้าที่ค่อนข้างแห้ง ที่สูงจากระดับน้ำทะเล 100-500 เมตร ออกดอกราวเดือนมีนาคมถึงเมษายน ผลแก่จัดเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคม

สรรพคุณ สมุนไพรแสลงใจ (โกฏกะกลิ้ง)   

 ทุกส่วนของต้นมีพิษ เป็นยาอันตรายมาก การนำมาทำเป็นยาต้องฆ่าฤทธิ์ ตามกรรมวิธีในหลักเภสัชกรรมไทยเสียก่อน
              ยาสมุนไพรพื้นบ้านจังหวัดอุบลราชธานี  ใช้  แก่น เข้ายากับเครือกอฮอ ต้มน้ำดื่ม แก้เบาหวาน ลำต้น ต้มน้ำดื่ม แก้พิษภายใน
              ยาพื้นบ้าน  ใช้  ราก ผสมกับต้นกำแพงเจ็ดชั้น รากชะมวง และรากปอด่อน ต้มน้ำดื่ม เป็นยาระบาย ต้น ต้มน้ำดื่ม หรือฝนทา แก้ปวดตามข้อ แก้อักเสบจากงูกัด เปลือกต้น รสเมาเบื่อ แก้พิษสัตว์กัดต่อย พิษงูกัด ฝนกับสุราปิดแผล และรับประทานแก้พิษงู ในกรณีแก้อักเสบจากงูพิษกัด อาจใช้สมุนไพรก่อนแล้วรีบนำส่งโรงพยาบาล ผสมกับรำให้ม้ากิน ขับพยาธิตัวตืด เปลือกต้นผสมกับผลปอพราน และเหง้าดองดึงคลุกให้สุนัขกินเป็นยาเบื่อ        
              ตำรายาไทย  เรียกเมล็ดแก่แห้งว่า “โกฐกะกลิ้ง” ใช้เป็นยาขมเจริญอาหาร บำรุงหัวใจ ขับน้ำย่อย เมล็ด มีพิษมากต้องระมัดระวังในการใช้ ทางยา เมล็ดมีรสเมาเบื่อขมจัด บำรุงธาตุ บำรุงหัวใจให้เต้นแรง แก้อัมพาต แก้อิดโรย แก้ไข้เจริญอาหาร ขับน้ำย่อย กระตุ้นประสาทส่วนกลาง บำรุงประสาท หูตาจมูก บำรุงเพศของบุรุษ บำรุงกล้ามเนื้อกระเพาะอาหาร ลำไส้ ให้แข็งแรง แก้โรคอันเกิดจากปากคอพิการ ขับพยาธิ ขับปัสสาวะ แก้พิษงู พิษตะขาบแมลงป่อง แก้ลมกระเพื่อมในท้อง แก้คลื่นไส้ แก้ลมพานไส้ แก้ริดสีดวงทวาร แก้โลหิตพิการ ทำให้ตัวเย็น แก้ลมคูถทวาร ขับลมในลำไส้ แก้หนองใน แก้ไตพิการ แก้เส้นตาย แก้เหน็บชา แก้เนื้อชา แก้กระษัย แก้ปวดเมื่อย ราก รสเมาเบื่อ แก้ไข้มาลาเรีย ฝนน้ำกิน และทาแก้อักเสบจากงูกัด แก่น รสเมาเบื่อ แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย ใบ รสเมาเบื่อ ตำพอกแก้ฟกบวม ตำพอกแก้แผลเน่าเปื่อยเรื้อรัง เนื้อไม้ เป็นยาแก้ไข้ แก้พิษร้อน ทำให้เจริญอาหาร บำรุงประสาท แก้ไข้เซื่องซึม

อาการพิษ  

ส่วนของเมล็ด ดอก ถ้ารับประทานเข้าไปทำให้กล้ามเนื้อกระตุก เกร็ง กลืนลำบาก ขาสั่น ชักอย่างแรง หัวใจเต้นแรง ขากรรไกรแข็งและตายได้ ในกรณีไม่ตายพบว่ามีไข้ ตัวชา กล้ามเนื้อเกร็ง หัวใจเต้นเร็ว และเหงื่อออกมากติดต่อกันหลายวัน ขนาดรับประทาน 60-90 มิลลิกรัม ทำให้ตายได้

แสลงใจ (โกฏกะกลิ้ง)

ไพล

No Comments
ไพร,สมุนไพร,ความงาม

ลักษณะของไพล

  • ต้นไพล ลักษณะไพลเป็นไม้ล้มลุกมีความสูงประมาณ 0.7-1.5 เมตร มีเหง้าอยู่ใต้ดิน เปลือกมีสีน้ำตาลแกมเหลือง เนื้อด้านในมีสีเหลืองถึงสีเหลืองแกมเขียว แทงหน่อหรือลำต้นเทียมขึ้นเป็นกอ โดยจะประกอบไปด้วยกาบหรือโคนใบหุ้มซ้อนกันอยู่ เหง้าไพลสดฉ่ำน้ำ รสฝาด เอียด ร้อนซ่า มีกลิ่นเฉพาะ ส่วนเหง้าไพลแก่สดและแห้งจะมีรสเผ็ดเล็กน้อย ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ด แง่ง หรือเหง้า แต่โดยทั่วไปแล้วจะใช้ส่วนของเหง้าเป็นท่อนพันธุ์ในการเพาะปลูก พรรณไม้ชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเอเชียแถบประเทศอินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย ปลูกกันมากในจังหวัดกาญจนบุรี สุพรรณบุรี ปราจีนบุรี และสระแก้ว
  • ใบไพล ลักษณะของใบเป็นรูปขอบขนานแกมรูปหอก ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับ กว้างประมาณ 3.5-5.5 เซนติเมตรและยาวประมาณ 18-35 เซนติเมตร
  • ดอกไพล ออกดอกเป็นช่อ แทงจากเหง้าใต้ดิน กลีบดอกมีสีนวล มีใบประดับสีม่วง
  • ผลไพล ลักษณะของผลเป็นผลแห้งรูปกลม

สรรพคุณของไพล

  1. ดอกไพล สรรพคุณช่วยขับโลหิตและกระจายเลือดเสีย กระจายเลือดที่เป็นลิ่มเป็นก้อน (ดอก)
  2. ช่วยแก้ธาตุพิการ (ต้นไพล)
  3. สรรพคุณสมุนไพรไพล ใบช่วยแก้ไข้ (ใบ)
  4. ช่วยแก้อาเจียน อาการอาเจียนเป็นโลหิต (หัวไพล)
  5. ช่วยแก้อาการปวดฟัน (หัวไพล)
  6. ไพลกับสรรพคุณทางยา เหง้าช่วยขับโลหิต (เหง้า)
  7. ช่วยแก้เลือดกำเดาไหลออกทางจมูก (ราก)
  8. ช่วยรักษาโรคที่บังเกิดแต่โลหิตออกทางปากและจมูก (เหง้า)
  9. เหง้าไพล ใช้เป็นยารักษาหอบหืด ด้วยการใช้เหง้าแห้ง 5 ส่วน / ดีปลี 2 ส่วน / พริกไทย 2 ส่วน / กานพลู 1/2 ส่วน / พิมเสน 1/2 ส่วน นำมาบดผสมรวมกัน ใช้ผงยา 1 ช้อนชาชงกับน้ำร้อนแล้วรับประทาน หรือจะปั้นเป็นยาลูกกลอนด้วยการใช้น้ำผึ้ง ขนาดเท่าเม็ดพุทรา แล้วรับประทานครั้งละ 2 ลูก โดยต้องรับประทานติดต่อกันเรื่อย ๆ จนกว่าอาการจะดีขึ้น (เหง้าแห้ง)
  10. ช่วยแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ท้องขึ้น ท้องเดิน ช่วยขับลมในลำไส้ ด้วยการใช้เหง้าแห้งนำมาบดเป็นผงแล้วรับประทานครั้งละ 1 ช้อนชา ด้วยการนำมาชงกับน้ำร้อนและผสมเกลือด้วยเล็กน้อยแล้วนำมาดื่ม (เหง้าแห้ง)

ไพลกับความงาม

  1. ไพลขัดผิว เหง้าสามารถนำมาใช้ทำเป็นแป้งไว้สำหรับขัดผิวได้ โดยจะช่วยทำให้ผิวดูผุดผ่อง ช่วยปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ ช่วยลดเลือนริ้วรอย จุดด่างดำและไม่ทำให้เกิดสิว ซึ่งวิธีการทำไพลขัดผิว ก็ให้นำเหง้าไพลมาหั่นแบบหยาบ ๆ ประมาณ 4 ช้อนโต๊ะ ใส่ลงในโถปั่น แล้วตามด้วยดินสอพอง 3 ถ้วยตวง นำมาทุบให้พอแตกแล้วใส่ลงไปในเครื่องปั่นและปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน หลังจากนั้นให้เติมน้ำต้มสุก 1 ถ้วยตวง และปั่นให้เข้ากันอีกครั้ง เมื่อได้ครีมเป็นเนื้อเดียวกันแล้วให้นำมาปั้นเป็นก้อนเล็ก ๆ แล้วนำไปตากแดดให้แห้งสนิทเก็บไว้ใส่ขวด ก็จะได้แป้งไพลที่สามารถนำมาใช้ขัดผิวได้แล้ว ซึ่งวิธีการใช้ก็นำมาผสมกับน้ำเย็นแล้วนำมาพอกบริเวณผิวทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีแล้วค่อยล้างออก
  2. ไพลทาหน้าหรือการพอกหน้าด้วยไพล ด้วยการใช้แป้งไพลจำนวน 2-3 ก้อนนำมาผสมกับน้ำเย็นแล้วนำมาพอกหน้าก่อนเข้านอน ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีแล้วล้างออก จะช่วยทำให้ผิวหน้าดูอ่อนนุ่ม ในสูตรสามารถเติมนมสดหรือโยเกิร์ตประมาณ 2 ช้อนชาลงไปด้วยก็ได้ ไพล