หมวดหมู่: สมุนไพร

สบู่เลือด

No Comments
สบู่เลือดเถา,สรรพคุณ,ลักษณะของสมุนไพร

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : 

ไม้ล้มลุก มีหัวใต้ดินีขนาดใหญ่  กลมแป้น เปลือกหัวสีน้ำตาล เนื้อในสีขาวนวล รสชาติมันและเฝื่อนเล็กน้อย ลำต้นแทงขึ้นจากหัว โค้งงอลงสู่พื้นดิน เป็นไม้กึ่งเลื้อยทอดยาวได้ประมาณ 3-5 เมตร ใบ เป็นใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปเกือบกลม หรือ กลมคล้ายใบบัว แต่จะมีขนาดเล็กกว่า เส้นผ่าศูนย์กลางใบประมาณ 3-6  ซม.  ก้านใบยาว 2-3.5  ซม. ติดที่กลางแผ่นใบ ดอกออกเป็นช่อกระจุกที่ซอกใบ เป็นดอกแยกเพศ กลีบเลี้ยง 4-5 กลีบ รูปขอบขนาน สีเหลือง ไม่มีกลีบดอก ผลมีลักษณะเป็นทรงกลม มี 1 เมล็ด รูปเกือกม้า  

สรรพคุณ

  • ต้น –  กระจายลมที่แน่นในอก
  • ใบ – บำรุงธาตุไฟ ใส่บาดแผลสดและเรื้อรัง
  • ดอก – ฆ่าเชื้อโรคเรื้อน ทำให้อุจจาระละเอียด
  • เถา – ขับโลหิตระดู  ขับพยาธิในลำไส้
  • หัว, ก้าน – แก้เสมหะเบื้องบน ทำให้เกิดกำลัง บำรุงกำหนัด
  • ราก – บำรุงเส้นประสาท

ลักษณะของสบู่เลือด

  • ต้นสบู่เลือด จัดเป็นไม้ล้มลุกหรือไม้พุ่ม มีหัวขนาดใหญ่อยู่ใต้ดิน ลักษณะกลมแป้น เปลือกของหัวมีสีน้ำตาล ส่วนเนื้อในหัวมีสีขาวนวล มีรสชาติมันและเฝื่อนเล็กน้อย โดยลำต้นจะแทงขึ้นจากหัว โค้งงอลงสู่พื้นดิน เป็นไม้กึ่งเลื้อยทอดยาวได้ประมาณ 3-5 เมตร[1]
สมุนไพรสบู่เลือด
  • ใบสบู่เลือด มีใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกัน ใบมีลักษณะเป็นรูปเกือบกลม หรือเป็นรูปกลมคล้ายใบบัว แต่จะมีขนาดเล็กกว่า ใบมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3-6 เซนติเมตร บางครั้งมีติ่งหนามที่ปลาย เนื้อใบบางคล้ายกระดาษแต่แข็ง มีเส้นใบออกจากโคนใบเป็นรูปฝ่ามือ เส้นใบเป็นร่างแหค่อนข้างทั้งสองด้าน มีก้านใบติดอยู่ที่กลางแผ่น ก้านใบยาวประมาณ 2-3.5 เซนติเมตร[1],[3]

  • ดอกสบู่เลือด ออกดอกเป็นช่อแบบกระจุกตามซอกใบหรือง่ามใบ ยาวประมาณ 1 เซนติเมตร ก้านช่อดอกเรียวเล็ก ยาวประมาณ 7-8 มิลลิเมตร ดอกเป็นแบบแยกเพศ ดอกเพศผู้มีก้านดอกยาวประมาณ 1-2 มิลลิเมตร ดอกมีกลีบเลี้ยง 4-5 กลีบ เป็นรูปขอบขนานหรือรูปไข่กลับ มีสีเหลือง เนื้อกลีบนุ่ม มักมีขนาดไม่เท่ากัน กลีบเลี้ยงยาวประมาณ 1-2 มิลลิเมตร ไม่มีกลีบดอก เกสรเพศผู้เชื่อมติดกัน ไม่มีก้านหรือติดบนก้าน ยาวประมาณ 0.5 มิลลิเมตร[1],[3]
  • ผลสบู่เลือด ผลเป็นแบบมีเมล็ดเดียวแข็ง มีลักษณะเป็นรูปทรงกลมหรือค่อนข้างเป็นรูปไข่กลับ มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาวประมาณ 7-8 มิลลิเมตร ผนังของผลชั้นในจะมีรูเล็ก ๆ ตรงกลาง ด้านบนมีตุ่มเรียงกันเป็น 4 แถว โค้ง และมีทั้งหมดประมาณ 16-19 ตุ่ม[1],[3

สบู่เลือด

ยาลดความดันโลหิตสูง

No Comments
สมุนไพร,สรรพคุณ,คุณกาหลง

กาหลง

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

กาหลงเป็นไม้พุ่ม สูง 1–3 เมตร ใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปไข่หรือเกือบกลม ปลายเว้าลงมาสู่เส้นกลางใบลึกเกือบครึ่งแผ่นใบ ปลายแฉกทั้งสองข้างแหลม ปลายเส้นกลางใบมีติ่งเล็กแหลม ผลัดใบในฤดูหนาวระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม และจะแตกใบใหม่ราวเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม ดอกออกหลังจากใบใหม่แตกออกมาแล้ว ดอกสีขาว มีลักษณะเป็นช่อดอกสั้น ๆ ออกตรงข้ามกับใบที่อยู่ตอนปลายกิ่ง มี 3–10 ดอก ฝักแบน คล้ายรูปขอบขนาน ปลายและโคนฝักสอบแหลม ปลายฝักมีติ่งแหลม ขอบฝักเป็นสันหนา มี 5–10 เมล็ด เมล็ดเล็กคล้ายรูปขอบขนาน

ประโยชน์และสรรพคุณกาหลง

  • ช่วยลดความดันโลหิต
  • แก้ปวดศีรษะ
  • แก้อาเจียนเป็นเลือด
  • แก้สมหะพิการ
  • แก้เลือดออกตามไรฟัน
  • แก้ไอ้
  • ช่วยขับเสมหะ
  • แก้ปวดศีรษะ
  • แก้บิด
  • รักษาแผลในจมูก
  • แก้โรคสตรี
  • แก้เสมหะ
  • แก้ลักปิดลักเปิด

ข้อแนะนำและข้อควรระวัง ยาลดความดันโลหิตสูง

ในการเก็บดอกกาหลงมาใช้ประโยชน์นั้น ควรระวังบริเวณใบ และกิ่งของต้นกาหลงเนื่องจากบริเวณจะมีขนอ่อนๆ ขึ้นอยู่ ซึ่งหากสัมผัสกับผิวหนังโดยตรงจะทำให้ระคายเคืองผิวหนังได้ สตรีมีครรภ์และเด็กไม่ควรใช้กาหลงเป็นสมุนไพร เนื่องจากยังไม่มีการศึกษาวิจัยด้านความเป็นพิษรวมถึงยังไม่มีหลักฐานใดที่ระบุได้ว่า สมุนไพรชนิดนี้จะไม่ส่งผลต่อเด็กในครรภ์สำหรับผู้ที่มีร่างกายแข็งแรง หากจะใช้กาหลง เป็นสมุนไพร ก็ควรระมัดระวังในการใช้ เช่นเดียวกันกับการใช้สมุนไพร ชนิดอื่นๆ โดยควรใช้ในขนาดและปริมาณที่พอเหมาะที่กำหนดไว้ในตำรับตำราต่างๆ รวมถึงไม่ควรใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานาน จนเกินไปเพราะจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้

ยารักษาริดสีดวงทวาร

No Comments
ขลู่,สมุนไพร,สรรพคุณ

ขลู่

ลักษณะเฉพาะทางกายภาพ

ขลู่เป็นพืชวงศ์เดียวกับเบญจมาศน้ำเค็ม สาบเสือ เก๊กฮวย ดาวเรือ ทานตะวัน และบานชื่น เป็นพืชที่ชอบขึ้นตามลำพังทั่วไป โดยเฉพาะที่มีน้ำเค็ม ขึ้นตามพื้นที่ลุ่มชื้นแฉะ ริมห้วยหนอง ตามหาดทราย หรือป่าชายเลน พบได้ในเขตร้อนชื้น เช่น ประเทศอินเดีย ฟิลิปินส์ มาเลเซีย และประเทศไทย

ต้น

ขลู่เป็นเป็นไม้พุ่มเตี้ย สูงประมาณ 1-2 ม. ออกดอกตลอดปี

ใบ

ใบรูปไข่กลับ กว้าง 1-5 เซนติเมตร ยาว 2.5-10 เซนติเมตร ปลายใบมน ปลายใบมีขนาดใหญ่กว่าโคนใบ โคนใบสอบ ขอบใบหยักแบบฟันเลื่อย โดยรอบมีขนขาวๆปกคลุม ก้านใบสั้นมาก เนื้อใบบาง แผ่นใบเรียบเป็นมัน ใบค่อนข้างแข็งและเปราะ รสหอมฝาดเมาเค็ม มีกลิ่นหอมฉุน ใบเมื่อนำมาผึ่งให้แห้ง จะมีกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นน้ำผึ้ง

การใช้สมุนไพร

  • นำใบสดแก่มาตำแล้วบีบเอาน้ำ ทาตรงหัวริดสีดวงทวาร ทำให้หัวริดสีดวงหดหายไป
  • ใช้ใบอบแห้ง ดื่มเป็นน้ำชาสมุนไพรจะช่วยลดน้ำหนักได้ และบำรุงระบบประสาท
  • ใบสดแก่นำมาตำผสมกับเกลือใช้กินรักษากลิ่นปากและช่วยระงับกลิ่นตัว
  • นำใบมาตำผสมกับแอลกอฮอล์ ทาหลังบริเวณเหนือไต บรรเทาอาการปวดเอว
  • นำใบมาต้มน้ำอาบรักษาหิด ขี้เรื้อน
  • เปลือกต้นนำมาสับเป็นชิ้นมวนบุหรี่สูบแก้โพรงจมูกอักเสบ (ไซนัส)

ส่วนที่ใช้เป็น ยารักษาริดสีดวงทวาร

  • เมล็ด
  • ราก
  • ต้นสดหรือแห้ง
  • เปลือกต้น
  • ใบ
  • ดอก

**นิยมใช้เฉพาะใบ**

สมอไทย

No Comments
สมอไทย,สมุนไพร,สรรพคุณ

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ 

  ไม้ยืนต้น ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ผลัดใบ สูง 20-30 เมตร เรือนยอดกลมกว้าง เปลือกต้นขรุขระ สีเทาอมดำ เปลือกในสีเหลืองอ่อน เปลือกชั้นในมีน้ำยางสีแดง กิ่งอ่อนสีเหลืองหรือสีเหลืองแกมน้ำตาล มีขนคล้ายไหม เปลือกแตกเป็นสะเก็ดห่างๆ ยอดอ่อนมีขนสีน้ำตาลหนาแน่น ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม หรือเกือบตรงข้าม รูปไข่ถึงรูปไข่แกมรูปใบหอก หรือรูปรีกว้าง กว้าง 5-10 ซม. ยาว 11-18 ซม.ปลายใบมนหรือเป็นติ่งแหลม โคนกลมหรือกึ่งตัด หรือบางครั้งเบี้ยว ขอบเรียบ แผ่นใบเหนียวคล้ายแผ่นหนัง ผิวด้านบนเป็นเงามันมีขนเล็กน้อย ผิวด้านล่างมีขนคล้ายไหมถึงขนสั้นหนานุ่ม เมื่อแก่เกือบเกลี้ยง เส้นแขนงใบ ข้างละ 5-8 เส้น ก้านใบยาว 1.5-3 ซม. มีขนคล้ายไหม มีต่อม 1 คู่ ใกล้โคนใบ ดอกออกเป็นช่อคล้ายช่อเชิงลดหรือช่อแยกแขนง มี 3-5 ช่อ สีขาวอมเหลือง มีกลิ่นหอมอ่อนๆ  มักจะออกพร้อมๆกับใบอ่อน ออกที่ซอกใบหรือปลายกิ่ง ยาว 5-8.5 ซม. ไม่มีก้านช่อดอก หรือก้านช่อดอกสั้น แกนกลางสั้นและเปราะ มีขนสั้นนุ่ม ดอกสมบูรณ์เพศขนาดเล็ก 0.3-0.4 ซม. ไม่มีกลีบดอก ส่วนบนเป็นรูปถ้วยตื้นมีขนคลุมด้านนอก ใบประดับรูปแถบ ยาว 3.5-4 มม. ปลายแหลม มีขนสั้นนุ่มทั้งสองด้าน กลีบเลี้ยง 5 กลีบ สีขาวอมเหลือง โคนเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วย ปลายแยกเป็นแฉก เกลี้ยง รูปคล้ายสามเหลี่ยม เกสรเพศผู้มี 10 อัน ยื่นพ้นหลอดกลีบเลี้ยง ก้านชูอับเรณู ยาว 3-3.5 มม. เกลี้ยง จานฐานดอกมีขน เกสรเพศเมียมีรังไข่เหนือวงกลีบ ก้านเกสรเพศเมีย ยาว 2-3.5 มม. รังไข่เกลี้ยง หมอนรองดอกมีพูและขนหนาแน่น ผลแบบผลผนังชั้นในแข็ง รูปรีหรือเกือบกลม กว้าง 2-2.5 ซม. ยาว 2.5-3.5 ซม. ผิวเกลี้ยง หรือมีสันตื้น ๆ ตามยาว 5 สัน เมื่อแก่สีเขียวอมเหลือง หรือสีเขียวปนน้ำตาลแดง เมล็ดแข็ง มี 1 เมล็ด รูปยาวรี ออกดอกเดือนเมษายนถึงมิถุนายน ติดผลราวเดือนกันยายนถึงธันวาคม พบตามป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ป่าดิบแล้ง หรือพบตามทุ่งหญ้า ที่สูงตั้งแต่ใกล้ระดับน้ำทะเลจนถึง ประมาณ 1,000 เมตร

สรรพคุณ มอไทย

ตำรายาไทยใช้ ผล รสเปรี้ยวฝาด ขมชุ่ม เป็นยาสุขุม ผลอ่อนจะมีฤทธิ์เป็นยาระบาย และสมานลำไส้ ผลแก่จะมีฤทธิ์ฝาดสมาน นอกจากนี้ยังใช้อมกลั้วคอแก้เจ็บคอ ออกฤทธิ์ต่อปอด กระเพาะ และลำไส้ ใช้เป็นยาสมานลำไส้ ห้ามเลือดทั้งภายในและภายนอก เป็นยาละลายเสมหะ ขับเสมหะ ทำให้ปอดชุ่มชื่น แก้หลอดลมอักเสบ คออักเสบ เสียงแหบ แก้ไอ ลิ้นไก่อักเสบ แก้ลำไส้อักเสบเรื้อรัง แก้ท้องผูก โรคท้องมาน แก้ท้องร่วงเรื้อรัง ถ่ายเป็นเลือด ริดสีดวงทวาร เลือดออก สมานแผลในลำไส้ แก้ท้องเสีย เป็นยาระบายรู้ถ่ายรู้ปิด แก้บิดเรื้อรัง แก้กามเคลื่อน แก้สตรีตกเลือด ปัสสาวะบ่อย และเป็นยาเจริญอาหาร    เป็นยาระบาย แก้ปวดท้อง เป็นยาบำรุง แก้เจ็บคอ ขับน้ำเหลืองเสีย นำผลมาบดละเอียดโรยแผลเรื้อรัง แก้ลมจุกเสียด ช่วยเจริญอาหาร เนื้อหุ้มเมล็ด แก้ท้องผูก แก้บิด แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ รักษาโรคเกี่ยวกับน้ำดี ตับม้ามโต โรคท้องมาน อาเจียน อาการสะอึก โรคหืด และท้องร่วงเรื้อรัง เปลือกต้น ขับปัสสาวะ บำรุงหัวใจ ขับน้ำเหลืองเสีย เปลือกต้นและแก่น แก้ท้องเสีย ทั้งต้น ขับเสมหะ แก้เสียวคอ แก้ท้องผูก เป็นยาฝาดสมาน ดอก รักษาโรคบิด

ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย

 การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียของใบสมอไทย สกัดสารโดยใช้ปิโตรเลียมอีเธอร์, คลอโรฟอร์ม, เอทิลอะซีเตต, อะซีโตน, เมทานอล และน้ำ ด้วยวิธี soxhlet apparatus พบสาร phenolic, flavonoid, flavonol, tannin เป็นส่วนประกอบอยู่ในสารสกัดอะซีโตนมากที่สุด รองลงมาได้แก่ สารสกัดเอทิลอะซีเตต เมทานอล น้ำ และคลอโรฟอร์ม ตามลำดับ และศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธีทางเคมีในหลอดทดลอง ด้วยวิธี DPPH (1,1-diphenyl-2-picrylhydrazyl) radical scavenging assay และทดสอบ Reducing power โดยการเปรียบเทียบกับ ascorbic acid และ alpha-tocopherol ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระมาตรฐาน ส่วนฤทธิ์ต้านแบคทีเรียทำโดยใช้เทคนิค agar diffusion method ทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียแกรมบวกสี่ชนิด คือ Bacillus subtillisEnterococcus faedalisStaphylococcus aureusCorynebacterium และแบคทีเรียแกรมลบสามชนิดคือ Salmonella typhiKlebsiella pneumonia และ Shigella boydii  เปรียบเทียบกับยามาตรฐาน streptomycin ผลการทดลองพบว่า สารสกัดอะซีโตนมีความสามารถในการยับยั้งอนุมูลอิสระ DPPH ได้สูงสุด โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 130 ไมโครกรัม รองลงมาได้แก่ สารสกัดเอทิลอะซีเตท 137 ไมโครกรัม, สารสกัดเมทานอล 143 ไมโครกรัม และสารสกัดน้ำ 153 ไมโครกรัม ซึ่งถือว่ามีฤทธ์แรงเมื่อเปรียบเทียบกับ ascorbic acid และ alpha-tocopherol ซึ่งมีค่า IC50 เท่ากับ 180 และ 197 ไมโครกรัม ตามลำดับ สารสกัดอะซีโตนยังมีคุณสมบัติการรีดิวส์ที่แรง ซึ่งเป็นคุณสมบัติของสารต้านอนุมูลอิสระ ในการ reduce Fe3+ เป็น Fe2+ เมื่อเพิ่มความเข้มข้น โดยมีค่า EC50 เท่ากับ 375 µg ส่วนฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียพบว่าสารสกัดอะซีโตนออกฤทธิ์ได้ดีกว่ายามาตรฐาน streptomycin ต่อการยับยั้งเชื้อ B. subtilisE. faecalis และ K. pneumonia (Kathirvel and Sujatha, 2012)สมุนไพร สมอไทย

สมอไทย

ผักกาดขาว

No Comments
ผักกาดขาว,รักษาโรค,สมุนไพร

ลักษณะทั่วไปของผักกาดขาว

ผักกาดขาว เป็นพืชผักที่มีอายุ 2 ปี แต่ระบบการปลูกในปัจจุบันเป็นการปลูกแบบพืชปีเดียว เป็นพืชที่มีระบบรากแก้ว และมีรากแขนงแผ่กระจายจำนวนมาก มีความสูงได้ 20-50 เซนติเมตร แต่เป็นพืชที่ไม่มีลำต้นแต่จะมีใบเรียงเวียนซ้อนกันเป็นชั้นๆ เป็นกระจุกแบบดอกกุหลาบ ใบมีขนาดยาว 20-90 เซนติเมตร กว้าง 15-35 เซนติเมตร ใบรอบนอกมีลักษะรูปไข่ หรือ รูปวงรีสีเขียวเข้ม มีก้านเป็นแผ่นปีกยื่นไปทางข้าง ส่วนใบที่ซ้อนกันเป็นปลีมีสีเขียวปนขาว แผ่นใบกว้างจนเกือบกลม ดอกออกเป็นช่อซึ่งจะประกอบด้วยช่อแขนงที่มีช่อดอกแบบกระจายเป็นจำนวนมาก ส่วนช่อดอกจะยาวประมาณ 20-60 เซนติเมตร ดอกมีสีเหลืองสด มี 4 กลีบ มีกลีบเลี้ยง 4 กลีบ สีเขียวปนเหลือง ผงเป็นลำ หรือ ผลแตกแบบผักกาดกว้าง 3-5 มิลลิเมตร ยาว 7 เซนติเมตร มีสีเขียวมีเมล็ดข้างใน 20-30 เมล็ด ซึ่งเมล็ดลักษณะกลมสีเทาหรือสีดำ มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1-2 มิลลิเมตร

ประโยชน์และสรรพคุณผักกาดขาว

  • ใช้แก้หวัด
  • แก้ท้องผูก
  • ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน
  • บำรุงร่างกาย
  • บำรุงกำลัง
  • ช่วยเจริญอาหาร
  • แก้กระหาย
  • ช่วยลดความดันโลหิต
  • ช่วยเสริมสร้างหลอดเลือด
  • ช่วยขับน้ำนม
  • แก้โรคตาบอดกลางคืน
  • ช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย
  • แก้เจ็บคอ
  • ช่วยย่อยอาหาร
  • แก้ท้องเสีย
  • ช่วยขับปัสสาวะ
  • แก้อาเจียนเป็นเลือด
  • แก้วบวมน้ำ
  • แก้แผลในปาก
  • แก้ไอ
  • ช่วยขับเสมหะ

ข้อแนะนำและข้อควรระวัง

  1.  สำหรับผู้ที่มีอาการกระเพาะอาหารเย็น ตามตำราแพทย์แผนจีน คือ มีอาการแน่นท้อง อาหารไม่ย่อย อาเจียน ไม่ควรกินผักกาดขาวมาก เพราะอาจจะทำให้อาเจียนมีน้ำลายเป็นฟอง
  2. ส่วนตำรายาไทยระบุว่าสำหรับผู้ที่มีอาการม้ามพร่อง คือ มีอาการท้องอืดท้องเฟ้อ แน่นท้อง อาหารไม่ย่อย มีแก๊สในกระเพาะอาหารเยอะ ไม่ควรรับประทานผักกาดขาวในปริมาณมากเกินไป
  3. ส่วนการรับประทานหัวผักกาดขาว ดิบจะมีประโยชน์มากกว่ารับประทานแบบปรุงสุก เนื่องจากวิตามินซี และเอนไซม์ (Amylase) ในหัวผักกาดขาวจะไม่ทนต่อความร้อนมากนัก และจะถูกทำลายที่อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียส
  4. นอกจากนี้ก่อนนำผักกาดขาวไปรับประทาน ควรล้างผักให้สะอาดโดยเปิดน้ำให้ไหลผ่านผักเพื่อชะล้างเศษดินหรือสิ่งปนเปื้อนให้ออกไปจนหมด และลดสารพิษตกค้างของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่อยู่ในผักอีกด้วย

แมงลัก

No Comments
แมงลัก,สมุนไพร,สรรพคุณ

ถิ่นกำเนิดแมงลัก

แมงลักเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของทวีเอเชีย เช่น อินเดีย, มังคลาเทศ, เนปาล, พม่า, ไทย, ลาว, กัมพูชา, เวียดนาม แล้วได้มีการกระจายพันธุ์ไปยังเขตร้อนตามทวีปต่างๆ ของโลก เช่น แอฟริกา และอเมริกา รวมถึงอเมริกาใต้ด้วย นอกจากนี้แมงลัก ยังเป็นพืชชนิดหนึ่งที่มีหลายสายพันธุ์ แต่ในประเทศไทยนั้นแมงลักจะมีสายพันธุ์หลักเพียงสายพันธุ์เดียวนั่นก็ คือ “ศรแดง” ที่เหลือก็จะเป็นพันธุ์ผสม หรือ พันทาง 

ประโยชน์และสรรพคุณแมงลัก 

ใบ

รสหอมร้อน เป็นยาขับลม ขับเหงื่อ แก้ไอและโรคเกี่ยวกับลำไส้ ใช้อมบ้วนปากเพื่อบรรเทาอาการปวดฟัน, ใช้ใบสดโขลกให้ละเอียดคั้นเอาน้ำดื่มเป็นยาแก้หวัดในเด็ก, แก้หลอดลมอักเสบ, แก้ท้องร่วง, โขลกเป็นยาพอกแก้โรคผิวหนังทุกชนิด

ลำต้น

รสร้อน ใช้ลำต้นต้มเอาน้ำดื่มเป็นยาแก้ไข้ ขับลม ขับเหงื่อ และโรคทางเดินอาหาร

เมล็ด

รสหอมร้อน แช่น้ำให้พองเต็มที่ รับประทานเป็นยาระบาย ทำให้ถ่ายอุจจาระสะดวก ช่วยดูดซึมน้ำตาลในเส้นเลือด ช่วยเร่งการขับถ่าย เป็นยาลดความอ้วน ยาบำรุง ขับปัสสาวะ

ข้อแนะนำและข้อควรระวัง

  1. ถ้าใช้เมล็ดแมงลักที่ยังพองตัวไม่เต็มที่ จะทำให้มีการดูดน้ำจากลำไส้เกิดอาการขาดน้ำ และอาจเกิดอาการลำไส้อุดตันได้ (โดยเฉพาะแมงลักที่บดเป็นผง)
  2. ไม่ควรรับประทานเม็ดแมงลักในปริมาณมากๆ เพราะอาจจะเกิดอาการอึดอัดแน่นท้องและรู้สึกไม่สบายตัวได้
  3. ไม่ควรรับประทานเม็ดแมงลัก พร้อมกับกับยา เพราะอาจทำให้ร่างกายดูดซึมยาได้ไม่ดี
  4. สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักการรับประทานเม็ดแมงลัก แทนมื้ออาหารควรรับประทานเป็นบางมื้อ เพราะอาจจะทำให้ร่างกายขาดสารอาหารได้
  5. แมงลัก

สะแกแสง

No Comments

ลักษณะของสะแกแสง

ต้นสะแกแสง จัดเป็นพรรณไม้ยืนต้นผลัดใบในช่วงฤดูแล้ง เรือนยอดโปร่ง แตกกิ่งก้านสาขาที่เรือนยอดของต้น ลำต้นมีลักษณะเปลาตรง มีความสูงได้ประมาณ 15-20 เมตร เปลือกลำต้นเป็นสีเทาหรือสีน้ำตาลอมเทา เปลือกเรียบหรือแตกแบบรอยไถ ส่วนเปลือกด้านในเป็นสีน้ำตาลอ่อนและมีกลิ่นเหม็นเขียว ตามกิ่งอ่อนและยอดอ่อนมีขนสีเทาปกคลุม ตามกิ่งมีรอยแผลของก้านใบที่หลุดร่วงซึ่งมองเห็นได้ชัดเจน ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด จัดเป็นพรรณไม้กลางแจ้ง ชอบดินร่วนซุยที่มีความชื้นปานกลาง แต่ก็สามารถอยู่ในที่แห้งแล้งได้เช่นกัน โดยมักพบขึ้นตามป่าดิบแล้ง ป่าผลัดใบ และป่าเบญจพรรณแล้งและชื้นทั่วไป ที่ระดับความสูงตั้งแต่ 50-300 เมตร จากระดับน้ำทะเล พบได้ในประเทศไทย พม่า และอินโดจีน[1]

สรรพคุณของสะแกแสง

  • เนื้อไม้และรากสะแกแสงมีพิษเบื่อเมา ใช้ปรุงเป็นยาแก้พิษทั้งปวง แก้พิษไข้เซื่องซึม และพิษกาฬต่าง ๆ
  • ตำรับยาพื้นบ้านจะใช้ทั้งเป็นยาแก้พิษไข้
  • เนื้อไม้และราก นำมาขูดให้เป็นฝอย มวนรวมกับใบยาสูบ ใช้สูบแก้ริดสีดวงจมูก
  • เนื้อไม้และรากมีรสเบื่อเมา ใช้ปรุงเป็นยากินแก้โรคผิวหนังผื่นคัน โรคเรื้อน กลากเกลื้อน หูด น้ำเหลืองเสีย
  • ใบมีรสเบื่อเมา นำมาสุมกับไฟรมฆ่าพยาธิผิวหนังเรื้อรัง
  • ตำรายาไทยจะใช้ใบสะแกแสงนำมาสุมไฟเอาควันรม รักษาบาดแผลเรื้อรัง

ประโยชน์ของสะแกแสง

  • เนื้อไม้สะแกแสงเป็นสีเทา มีเสี้ยนตรง อ่อน เนื้อหยาบปานกลาง เลื่อยผ่าไสกบตกแต่งได้ง่าย นิยมนำมาทำหีบ ลังใส่ของ ของเล่นเด็ก รองเท้าไม้ เสาเข็ม ที่อยู่อาศัย ใช้ประกอบการก่อสร้างชั่วคราว ใช้ทำกระดานแบบ แบบเทคอนกรีต เครื่องประดับ เครื่องจักสานและเครื่องใช้สอยต่าง ๆ
  • ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป เป็นไม้โตเร็ว ดอกมีกลิ่นหอมเย็น

สะแกแสง

ตองแตก

No Comments
สมุนไพร,ยารักษาโรค,สรรพคุณ

ลักษณะของตองแตก

ต้นตองแตก จัดเป็นพรรณไม้พุ่มขนาดเล็ก มีความสูงได้ประมาณ 1-2 เมตร แตกแขนงจากโคนต้น ส่วนลำต้นเป็นสีเขียวมีขนาดประมาณ 1 เซนติเมตร หรืออาจเล็กกว่านี้ เปลือกลำต้นเรียบเป็นสีน้ำตาล ยอดอ่อนมีขนสีขาว เป็นพรรณไม้ที่มีอายุอยู่ได้นานและทนทาน ตายยาก ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด มีเขตการกระจายพันธุ์ในอินเดีย ปากีสถาน บังกลาเทศ ศรีลังกา ลงมาจนถึงพม่า กัมพูชา ลาว เวียดนาม อินโดจีน คาบสมุทรมาเลเซีย เกาะบอเนียว สุมาตรา ชวา มาลูกู สุราเวศรี เลสเซอร์ เกาะซันดร้า ส่วนในประเทศไทยพบขึ้นทั่วไปตามป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณ ป่าไผ่ และตามที่รกร้าง จนถึงระดับความสูง 700 เมตร

ใบตองแตก ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ใบมีขนาดและรูปร่างต่างกัน ใบที่อยู่ส่วนยอดจะมีลักษณะเป็นรูปรีหรือรูปใบหอก มีขนาดกว้างประมาณ 3-4 เซนติเมตร และยาวประมาณ 6-7 เซนติเมตร ส่วนใบที่อยู่โคนต้นขอบใบจะหยักเว้าเป็น 3-5 แฉก ลักษณะของใบจะเป็นรูปไข่แกมขอบขนานหรือเกือบกลม ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ตามขอบใบจักเป็นซี่ฟันห่างกันไม่สม่ำเสมอ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 7-8 เซนติเมตร และยาวประมาณ 5-18 เซนติเมตร เนื้อใบบาง เส้นใบด้านล่างเห็นชัดกว่าด้านบน ก้านใบมีลักษณะเรียวยาว มีความยาวประมาณ 2-6 เซนติเมตร ยอดอ่อนมีขน

ดอกตองแตก ดอกมีขนาดเล็กสีขาวเหลือง ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบ ช่อดอกมีลักษณะเล็กเรียว ยาวประมาณ 3.5-12 เซนติเมตร ดอกเป็นแบบแยกเพศอยู่ในช่อเดียวกัน โดยดอกเพศผู้จะอยู่ตอนบนของช่อและมีจำนวนมาก ดอกมีรูปร่างกลม มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-2 มิลลิเมตร ไม่มีกลีบดอก แต่มีกลีบเลี้ยง 4-5 กลีบ ฐานดอกมีต่อมประมาณ 4-6 ต่อม มีเกสรเพศผู้ประมาณ 15-20 อัน อับเรณูคล้ายรูปถั่ว ก้านดอกย่อยมีลักษณะเล็กเรียวคล้ายเส้นด้าย ยาวประมาณ 3-5 มิลลิเมตร ส่วนดอกเพศเมียจะอยู่โคนช่อของดอก ไม่มีกลีบดอกเช่นกัน มีกลีบเลี้ยงเป็นรูปไข่ปลายแหลม ขอบจัก ฐานดอกเป็นรูปถ้วยสั้น ๆ รังไข่มี 3 พู ก้านเกสรเพศเมียจะแยกออกเป็น 2 แฉก ลักษณะม้วนออก

สรรพคุณของตองแตก

  • รากใช้เป็นยารักษาโรคโลหิตจาง
  • ชาวไทใหญ่จะใช้ใบตองแตกตากแห้ง นำมาชงเหมือนชาดื่มแก้อาการง่วง
  • รากมีสรรพคุณเป็นยาแก้ไข้ ส่วนใบมีสรรพคุณเป็นยาถอนพิษไข้ เมล็ดมีสรรพคุณเป็นยาถ่ายพิษไข้
  • ใบนำมาต้มกับน้ำกินเป็นยาแก้ร้อนใน 
  • ใบนำมาต้มกับน้ำกินเป็นยาช่วยขับเหงื่อ

ขนาดและวิธีใช้ตองแตก

การใช้ตาม ให้ใช้ใบประมาณ 2-4 ใบ หรือใช้ราก 1 หยิบมือ ยาไทยจะนิยมใช้ราก 1 หยิบมือ นำมาต้มกับน้ำ 1 ถ้วยแก้ว เติมเกลือเล็กน้อย แล้วนำมารับประทาน

ตองแตก

ชุมเห็ดเทศ

No Comments

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ไม้พุ่ม ขนาดกลาง สูงประมาณ 2 – 3 เมตร แตกกิ่งก้านน้อน เปลือกต้นเรียบ สีน้ำตาล ก้านใบยาว ในก้านหนึ่งนั้นจะมีใบแตกออกเป็น 2 ทาง ลักษณะคล้ายกับใบมะยมแต่ละโตและยาวกว่าประมาณ 10 – 12 ซม. และกว้างประมาณ 3 – 6 ซม.

ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก มีความยาวประมาณ 30 – 60 ซม. ลักษณะใบรูปไข่ขอบขนาน ปลายใบมนหรือเว้าเล็กน้อย โคนใบเบี้ยว ฐานใบมน และไม่เท่ากันทั้ง 2 ข้าง ขอบใบเรียบ สีแดง ใบจะมีความกว้างประมาณ 5 – 7 ซม. และยาวประมาณ 5 – 15 ซม. ก้านใบแข็ง ตั้งฉากกับกิ่ง ใบย่อยเรียงตัวเป็นคู่ๆ 8 – 20 คู่ และอยู่ในระนาบเดียวกัน ก้านใบย่อยสั้นมาก

ดอก ออกดอกเป็นช่อใหญ่ชูตั้งขึ้นไปตามซอกใบและปลายกิ่ง มีความยาวประมาณ 20 – 50 ซม. ในแต่ละช่อจะประกอบด้วยดอกหลายดอก มีใบประดับสีน้ำตาลแกมเหลืองหุ้มดอกตูม ดอกมีสีเหลือง ดอกตูมคล้ายดอกข่า และเมื่อดอกบานจะมีสีเหลืองเข้ม กลีบรองกลีบดอกมี 5 กลีบ เป็นรูปขอบขนานสีเขียว ตรงปลายจะแหลม ก้านดอกสั้นและมีลายเส้นเห็นชัดเจน เกสรตัวผู้จะมีอยู่ประมาณ 9 – 10 อัน แต่มีความยาวไม่เท่ากันอับเรณูเมื่อแก่จะมีรูเปิดที่ยอด ส่วนเกสรตัวเมียนั้นมีอยู่1อันผิวเกลี้ยง

ผล จะติดผลเมื่อดอกโรยแล้ว ลักษณะเป็นฝักแบน หนา ไม่มีขน มีความกว้างประมาณ 1.5 – 2 ซม. และยาวประมาณ 10 – 15 ซม. จะมีปีกอยู่ 4 ปีก มีความกว้างประมาณ 5 – 8 มม. และยาวประมาณ 7 – 10 มม. มีครีบคล้ายถั่วพู ฝักอ่อนมีสีเขียว ฝักแก่มีสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ และเมล็ดมีสีดำแบนลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมประมาณ 50 – 60 เมล็ด ผิวนอกขรุขระ

ประโยชน์ทางยาชุมเห็ดเทศ

ต้นรสเบื่อเอียน ใช้ขับพยาธิในลำไส้ ถ่ายพิษตานทรง รักษาซาง โรคผิวหนัง ถ่ายเสมหะ รักษาฟกบวม รักษาริดสีดวง ดีซ่าน และฝี ใช้เป็นยารักษาคุดทะราด และกลากเกลื้อน รักษากษัยเส้น ขับพยาธิ และขับปัสสาวะ รักษาท้องผูก และทำให้หัวใจเป็นปกติ
ใบรสเบื่อเอียน จะมีกลิ่นฉุน ต้มน้ำกินเป็นยาระบาย อมบ้วนปากและใช้เป็นยาฆ่าพยาธิตามผิวหนัง ผิวหนังอักเสบเป็นผื่นคันเส้นประสาทอักเสบ รักษากษัยเส้น ขับปัสสาวะและรักษากระเพาะอาหารอักเสบ บดผสมกระเทียมหรือน้ำปูนใสทาแก้กลาก เกลื้อน โรคผิวหนัง ฝีและแผลพุพอง
ดอกรสเอียน ใช้เป็นยาระบาย ยาถ่าย บรรเทาอาการท้องผูก ถ่ายพยาธิลำไส้
ฝักและเมล็ดรสเอียนเบื่อ แก้พยาธิ เป็นยาระบาย ขับพยาธิตัวตืด พยาธิไส้เดือน
ต้น ราก ใบรสเบื่อเอียน แก้กระษัยเส้น ทำให้หัวใจปกติ แก้ท้องผูก ขับปัสสาวะ

วิธีและปริมาณที่ใช้ชุมเห็ดเทศ

  • เป็นยาระบาย ยาถ่าย แก้อาการท้องผูก
    ใช้ดอกชุมเห็ดเทศสด 1-3 ช่อดอก (หรือแล้วแต่คนที่ธาตุเบาธาตุหนัก ช่อดอกใหญ่หรือเล็ก) ต้มรับประทานจิ้มกับน้ำพริก หรือ ใช้ใบสด 8-12 ใบ ล้างให้สะอาด หั่นตากแห้ง หรือปิ้งไฟให้เหลือง หั่น ใช้ต้มหรือชงน้ำดื่ม ครั้งละ 1 ถ้วยแก้ว เติมเกลือเล็กน้อย ดื่มให้หมด
    หรือใช้ใบแห้งบดเป็นผง ปั้นกับน้ำผึ้งเป็นลูกกลอนขนาดเท่าปลายนิ้วก้อย รับประทานครั้งละ 3 เม็ด ก่อนนอน หรือเมื่อมีอาการท้องผูก
    หรือ ใช้เมล็ด คั่วให้เหลือง ชงน้ำดื่มเป็นน้ำชา เป็นยาระบายอ่อนๆ
  • เป็นยารักษาโรคผิวหนัง กลากเกลื้อน
    ใช้ใบสด 3-4 ใบย่อย ขยี้หรือตำในครกให้ละเอียด เติมเกลือเล็กน้อย หรือใช้ใบชุมเห็ดเทศกับหัวกระเทียมปริมาณเท่ากัน ผสมปูนแดงที่กินกับหมากนิดหน่อย ตำผสมกันทาบริเวณที่เป็นกลาก หรือโรคผิวหนัง โดยเอาผิวไม้ไผ่ขูดบริเวณที่เป็นกลากเบาๆ แล้วทายาวันละ 2 ครั้ง เช้าเย็นจนกว่าจะหาย หายแล้วทาต่ออีก 7 วัน
  • รักษาฝีและแผลพุพอง
    ใช้ใบชุมเห็ดเทศ และก้านสด 1 กำมือ ต้มกับน้ำพอท่วมยาแล้วเคี่ยวให้เหลือ 1 ใน 3 ชะล้างบริเวณที่เป็นวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ถ้าเป็นมากให้ใช้ประมาณ 10 กำมือ ต้มอาบ

ชุมเห็ดเทศ

จำปา

No Comments
สมุนไพร,ยารักษาโรค,สรรพคุณ

ลักษณะดอกจำปา

เป็นดอกเดี่ยวสีเหลืองอมส้ม ออกตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ดอกตั้งขึ้น ดอกตูมรูปกระสวย มีแผ่นสีเขียวคลุมอยู่ และจะหลุดไปเมื่อดอกบาน กลีบเลี้ยงและกลีบดอกมีลักษณะเหมือนกัน มีจำนวน 12-15 กลีบ แต่ละกลีบรูปยาวรีแกมรูปหอกกว้าง 1-1.5 เซนติเมตร ยาว 4-4.5 เซนติเมตร กลิ่นหอมแรง ดอกเริ่มแย้มและส่งกลิ่นหอมยามพลบค่ำ ในเช้าวันต่อมากลีบดอกจะกางออกจากกัน และร่วงหล่นลงมาในช่วงเวลาเย็น ออกดอกเกือบตลอดปี แต่จะมีมากในช่วงต้นฤดูฝน

สรรพคุณ

  1. ใบ – แก้โรคเส้นประสาทพิการ แก้ป่วงของทารก
  2. ดอก – แก้วิงเวียนอ่อนเพลีย หน้ามืดตาลาย บำรุงหัวใจ กระจายโลหิต
  3. เปลือกต้น – ฝาดสมาน แก้ไข้ ทำให้เสมหะในลำคอเกิด
  4. เปลือกราก – เป็นยาถ่าย ทำให้ประจำเดือนมาปกติ รักษาโรคปวดตามข้อ
  5. กระพี้ – ถอนพิษผิดสำแดง
  6. เนื้อไม้ – บำรุงโลหิต
  7. ราก – ขับโลหิตสตรีที่อยู่ในเรือนไฟให้ตก

การใช้ประโยชน์

นิยมปลูกเป็นไม้ดอก ไม้ประดับ ประเภทดอกหอมสวยงาม และเป็นไม้ให้ร่มเงาในสนามได้ดีมากต้นหนึ่ง